วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล
จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วประมาณ 50,000 ลิตร ในทะเล ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ถ่ายภาพการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ด้วยดาวเทียม COSMO-SkyMed-1 เมื่อเวลา 18.23 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว จากภาพแสดงให้เห็นถึงคราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีขนาดพื้นที่ประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร ห่างชายฝั่งทะเลประมาณ 1.6 กิโลเมตร
โดยคราบน้ำมันที่พบเป็นบริเวณกว้างจะอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเสม็ด (วงสีเขียว) และมีทิศทางเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง แต่มีลักษณะเป็นเพียงแผ่นฟิล์มบางๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะสลายตัวด้วยกระบวนการธรรมชาติเช่นแบคทีเรียและแสงอาทิตย์ต่อไป จากการใช้ข้อมูลภาพดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำของ GISTDA คาดว่าวันพรุ่งนี้ (30 กรกฎาคม 2556) ในช่วงเช้าฟิล์มน้ำมันเหล่านี้อาจจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่งในเขตอำเภอแกลง ประชาชน ผู้ประกอบการ ตลอดจนสถานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวจึงควรเตรียมการรับมือโดยงดเล่นน้ำทะเล งดการใช้น้ำทะเลเพื่อการเพาะเลี้ยงและขนย้ายสิ่งของที่อาจได้รับความเสียหายจากคราบน้ำมัน รวมทั้งให้ความร่วมมือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและขจัดคราบน้ำมัน
สำหรับพื้นที่ที่คราบน้ำมันยังมีความหนาแน่นจะเป็นหย่อมๆ ในอ่าวที่มีลักษณะปิดทางฝั่งตะวันตกของเกาะเสม็ด โดยเฉพาะอ่าวพร้าว (วงสีแดง) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการขจัดอยู่อย่างรีบด่วน
อนึ่งการใช้ดาวเทียมระบบเรดาร์ตรวจวัดคราบน้ำมันนั้นเป็นการวัดความราบเรียบของผิวหน้าทะเลอันเนื่องมาจากแรงตึงผิวที่ลดลงของน้ำทะเลเนื่องมาจากฟิล์มน้ำมัน ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงฟิล์มบางๆ ดาวเทียมก็สามารถตรวจวัดได้ ซึ่งฟิล์มน้ำมันบางๆ นั้นถึงแม้อาจจะไม่ทำให้เกิดอันตรายโดยเฉียบพลันเหมือคราบน้ำมันที่มีความหนามากๆ แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งจะเกิดการสะสมและแปรสภาพเป็นก้อนน้ำมันดิน (Tar Ball) บนหาดในระยะยาวต่อไป
ข้อมูลจาก http://www.gistda.or.th/

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน
กลัวกันนักหนากับปัญหาฟองสบู่อสังหาฯ รู้หรือไม่...ทำเลใจกลางเมืองกรุงทุกวันนี้เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์เปิดใหม่จนแทบจะนับไม่หมด 

ทำเลที่ว่าคือ "ซอยสุขุมวิท 39" เยื้องดิ เอ็ม โพเรียมห้างดังบนถนนสุขุมวิท โซนที่กำลังฮอตขึ้นหม้อของตลาดคอนโดมิเนียมระดับ "ลักเซอรี่" ไม่เพียงแต่อยู่กลางเมือง 

หากแต่เป็นซอยที่เชื่อมไปยังซอยสุขุมวิท 35, 49 และ 55 (ซอยทองหล่อ) ได้


ถ้านับมูลค่าขายและมูลค่าลงทุนโครงการในซอยนี้รวมกัน คงต้องตั้งฉายาว่า...ซอยหมื่นล้าน !

ประเด็นที่นำมาสู่การลงพื้นที่ซอยสุขุมวิท 39 มาจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีคอนโดฯใหม่ ราคาตารางเมตรละ 2 แสนอัพ ที่เปิดตัวใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ จากค่าย "แสนสิริ" และ "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์" แสดงว่าซอยนี้ต้องมีดี

ต้นซอย...ดงคอนโดฯแพง

"มิสเซอร์เวย์" เริ่มออกสตาร์ตหัวมุมถนนปากซอยสุขุมวิท 39 ที่มีบันไดขึ้นลงสถานีบีทีเอสเกือบจ่อปากซอย ใกล้ ๆ กันกำลังมีงานก่อสร้างศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม 2 แค่เดินเข้าไปในซอยไม่กี่ก้าว สังเกตเห็นที่ดินเปล่าล้อมรั้วลักษณะเหมือนจะทำคอนโดฯ

เช็กข้อมูลเจอว่าเป็นที่ดินค่าย "เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์" ซื้อจากเจ้าของที่มีบ้านอยู่บนที่ดินแปลงติดกัน ราคาตารางวาละประมาณ 1.5 ล้านบาท เนื้อที่รวมประมาณกว่า 3 ไร่ "เสี่ยเอ-สุริยน พูลวรลักษณ์"

ซีอีโอเมเจอร์ฯ กำลังวางแผนอาจจะขึ้นโครงการแบบมิกซ์ยูส (ผสมผสาน) ที่แน่ ๆ จะมีคอนโดฯระดับลักเซอรี่ คาดว่าสนนราคาขายต่อตารางเมตรไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท และอาจมีสำนักงาน โรงแรม และรีเทลผสมด้วย คาดว่าเฉพาะคอนโดฯ น่าจะมีมูลค่าโครงการสูงถึง 5 พันล้านบาท

ส่วนที่ดินแปลงติดกันเป็นของค่าย "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์" ที่เพิ่งเปิดตัวคอนโดฯ ลักเซอรี่ใหม่ล่าสุดในซอยนี้ แบรนด์ "แกรลอรี ฮูร์ เดอร์ 39" 88 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 26-100 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท 

ข้อมูลอัพเดตมีเศรษฐีใจถึงจองห้องเพนต์เฮาส์ 3 ชั้น (ทรีเพล็กซ์) ราคา 100 ล้านบาท ที่มีแค่ 2 ห้องไปเรียบร้อยไฮโซแล้ว
ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“
รัฐบาลเพื่อไทยปิ๊งไอเดียผุดเมืองใหม่แนวไฮสปีดเทรน 4 สาย 36 สถานี กรมโยธาฯรับลูกวางผังเมืองใหม่ล็อกการพัฒนา เล็งทุกสถานีผุดเมืองครบทุกจังหวัดรองรับ ระบุพิกัดสเป็กห่างจากตัวเมืองรัศมี 8-10 กม. เจรจา สนข.ขยับที่ตั้งสถานีใหม่ ด้าน สนข.ลั่นคงไม่ได้ทุกสถานี ชี้ได้แค่สถานีปลายทาง และสร้างบนพื้นที่เปิดใหม่ "พิจิตร-พิษณุโลก-นครสวรรค์-อยุธยา-ปากช่อง-โคราช-เพชรบุรี-หัวหิน"
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ได้หารือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ถึงแนวทางการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงใน 4 สายทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 2.กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้บูรณาการร่วมกัน

โยธาฯขอจุดพลุเมืองใหม่ทุกสถานี
โดยกรมโยธาฯต้องการดูจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงแต่ละสายเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะเพิ่มมูลค่าให้โครงการเพื่อให้คืนกลับมาเป็นรายได้จึงให้กรมโยธาฯดูการวางผังเมืองและพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและอาจจะมีเมืองใหม่เกิดขึ้นในแนวโครงการด้วย
กรมโยธาฯมีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ทุกสถานีและขอให้ขยับตำแหน่งสถานีห่างจากในเมืองออกไปอีกโดยกรมโยธาฯเสนอจะนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีจะช่วยลดการเวนคืนที่ดินได้เนื่องจากจะให้เจ้าของที่ดินมาร่วมพัฒนาตามที่ออกแบบไว้ในผังเมืองเหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้วโดยกรมโยธาฯจะกันพื้นที่ไว้6-10ตารางกิโลเมตรในรัศมีรอบสถานีเพื่อพัฒนาที่ดิน
"เป็นไปได้ยากจะมีเมืองใหม่ทุกสถานี การขยับสถานีต้องดูหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงโครงข่ายคมนาคม การเติบโตของเมือง คงจะทำได้เป็นบางสถานีที่เป็นจุดที่ตั้งใหม่"
ส่วนสถานีที่เป็นสถานีรถไฟเดิมพื้นที่แคบมีจำกัด ยกเว้นมีที่ราชพัสดุจะสามารถขอใช้ที่ดินได้ ซึ่ง สนข.ได้หารือร่วมกับกรมธนารักษ์ขอใช้ที่ดินสร้างสถานีบางแห่งแล้ว เช่น สถานีปากช่อง ประมาณ 500 ไร่ สร้างสถานี 150 ไร่ ที่เหลือกรมธนารักษ์ให้เอกชนมาพัฒนาสร้างรายได้ระยะยาว

สนข.เน้นแค่สถานีปลายทาง
"แนวคิดเมืองใหม่นี้ที่ปรึกษาศึกษาโครงการให้สนข.ใน3 สายทาง คือสายเหนือ อีสาน และใต้ ในเฟสแรกมีกำหนดเบื้องต้นเป็นสถานีปลายทางคือพิษณุโลก โคราช หัวหิน ส่วนสายไประยองอยู่ที่การรถไฟกำหนด เช่นที่หัวหินสถานีเดิมอาจจะคับแคบ จะขยับมาทางชะอำหรือขึ้นไปทางปราณบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ในอนาคต ส่วนสถานีระหว่างทางต้องดูศักยภาพก่อนว่าเหมาะหรือไม่"
นายจุฬากล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กรมโยธาฯจะให้ขยับตำแหน่งสถานีนครสวรรค์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปอีก 2 กิโลเมตร เนื่องจากในบริเวณนี้มีที่ดินของกรมธนารักษ์อยู่กว่า 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาในอนาคตได้ ทั้งเชิงพาณิชยกรรมและสร้างเมืองใหม่

พิจิตร-ปากช่อง-นครสวรรค์ติดโผ
แหล่งข่าวจาก สนข.เปิดเผยว่า กรมโยธาฯจะให้ย้ายตำแหน่งทุกสถานีใหม่ทั้งหมดไปนอกเมืองประมาณ 8-10 กิโลเมตร เนื่องจากจะสร้างเมืองใหม่รองรับทุกสถานีในแนวรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังไม่สรุป จะต้องหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุนในการพัฒนาอีก รวมถึงเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาด้วย จะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะถ้าทำตามแนวคิดของกรมโยธาฯจะต้องรื้อเส้นทางใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในหลักการของ สนข.ที่ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษานั้น มีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ให้พัฒนาควบคู่ไปกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว เบื้องต้นเป็นพื้นที่สถานีที่สร้างใหม่ เช่น สถานีพิจิตร ปากช่อง นครสวรรค์ เพชรบุรี เป็นต้น ขณะที่กรมโยธาฯได้ทำโมเดลตัวอย่างเมืองใหม่นั้นมีประมาณ 3-4 จังหวัด ขนาดพื้นที่เมืองประมาณ 2,000-5,000 ไร่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่อยุธยาจะมีให้เลือก 3-4 เมือง เช่น ภาชี สถานีอยุธยาเดิมที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

เล็งนำจัดรูปที่ดินมาใช้
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมไปเสนอแนวคิดให้ สนข.พิจารณาว่าการกำหนดสถานีนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองและลดปัญหาการจราจรนั้นควรจะอยู่ตรงไหนซึ่งกรมมองว่าควรจะขยับตำแหน่งสถานีออกจากตัวเมืองมาประมาณ10กิโลเมตรเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น แต่ยังไม่สรุปชัดเจน เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น
"เราจะดีไซน์เมืองให้ดูว่า เมืองใหม่ควรจะเป็นแบบไหน จะมีครบทุกอย่างเหมือนเป็นชุมชนหนึ่ง เช่น ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พร้อมกับเสนอนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินมาดำเนินการ จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่เสียประโยชน์ที่จะถูกรัฐเวนคืนที่ดิน แต่อยู่ที่นโยบายของรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่"

เปิดตำแหน่งทุกสถานี 4 สายทาง
สำหรับจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย เบื้องต้นมี 36 สถานี สายกทม.-เชียงใหม่ 669 กิโลเมตร มี 12 สถานี ได้แก่ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เฟสแรก "กทม.-พิษณุโลก" 382 กิโลเมตร มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบางซื่อ อยู่ชั้น 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีดอนเมือง อยู่สถานีรถไฟเดิม 3.สถานีอยุธยา มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมและที่สถานีบ้านม้าห่างจากสถานีเดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร 4.สถานีลพบุรี อยู่ที่เดิม แต่จะเจาะอุโมงค์ลอดใต้ดิน 5.สถานีนครสวรรค์ มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่สถานีรถไฟเดิมหรือที่สถานีปากน้ำโพ 6.สถานีพิจิตร จะสร้างใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปด้านขวา 1 กิโลเมตร และ 7.สถานีพิษณุโลก มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่กองบิน 46
สายกทม.-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เฟสแรก "กทม.-หัวหิน" 225 กิโลเมตร สร้างไปตามแนวรถไฟสายใต้เดิมจากบางซื่อ ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และปลายทางที่หัวหิน มี 4 สถานี ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และหัวหิน จะมีสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือสถานีเพชรบุรีจะเบี่ยงออกมาอยู่บนถนนเพชรเกษมใกล้สถานีขนส่งจังหวัด
ส่วน "หัวหิน-ปาดังเบซาร์" ยังไม่ได้ศึกษา แนวโน้มจะจอดสถานีรถไฟเดิม มี 7 สถานี เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และปาดังเบซาร์
สายกทม.-หนองคาย 615 กิโลเมตร จะขนานไปกับแนวรถไฟสายอีสาน ช่วง "กทม.-บ้านภาชี" จะใช้แนวเขตทางร่วมกับสายเหนือ สำหรับที่ตั้งสถานีในเฟสแรก "กทม.-นครราชสีมา" 250 กิโลเมตร มี 3 สถานี
1.สถานีสระบุรี มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่ถนนวงแหวนรอบนอกตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่ 2.สถานีปากช่อง จะสร้างสถานีใหม่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปทางตัวเมืองโคราช 5 กิโลเมตร เนื้อที่ 500 ไร่ และ 3.สถานีโคราช มี 2 ทางเลือก คือสถานีรถไฟเดิมและสถานีภูเขาลาด จะมีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่
ส่วนต่อขยาย "นครราชสีมา-หนองคาย" จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟเดิม มี 4 สถานี คือ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีขอนแก่น ใช้สถานีเดิม แต่จะขยายพื้นที่เพิ่มมายังบนสนามกอล์ฟของการรถไฟฯมีอยู่ 200 ไร่ 3.สถานีอุดรธานี จะสร้างที่สถานีเดิมพื้นที่ 200 ไร่ หรือหาที่สร้างใหม่นอกเมือง และ 4.สถานีหนองคาย อยู่ตรงสถานีเดิมบนพื้นที่ 200 ไร่
สำหรับสายกทม.-ระยอง 221 กิโลเมตร จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟสายตะวันออก วิ่งจากมักกะสันตรงไปจนถึงปลายทางที่ระยอง มี 6 สถานี อยู่ตำแหน่งสถานีรถไฟเดิม ได้แก่ มักกะสัน ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พัทยา และระยอง

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555
กรมธนารักษ์ เลื่อนการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ ออกไปอีก 6 เดือน จากกำหนดที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อบรรเทาภาวะความเดือดร้อน จากปัญหาวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ของประเทศ ที่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง 62 จังหวัด
กรมธนารักษ์ ประกาศเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ที่จะใช้ทำธุรกรรมที่ดิน ระหว่างปี 2555 – 2558 หลังที่กรมที่ดินทำหนังสือผ่านกระทรวงมหาดไทย มายังกรมธนารักษ์ ให้คงราคาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม โดยในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์นัดพิเศษ เห็นว่าวิกฤตน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างใน 62 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินออกไปออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่กรมธนารักษ์ที่เตรียมจะประกาศใช้ ในวันที่ 1 มกราคม 2555
ด้าน นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างต่างๆ นอกเหนือจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่กรมธนารักษ์ ระบุว่าการเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ จะทำให้กรมฯ ต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิ์ที่ดินประมาณ 6,000 ล้านบาท

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย
กทม.การันตี "กรุงเทพฯ" ไม่เป็นสุญญากาศ ดีเดย์ 15 พ.ค.นี้ ร่างผังเมืองรวมฉบับใหม่ประกาศใช้ชัวร์ หนุนนำเมืองหลวงเป็นกรีนซิตี้ ลดโลกร้อน แจกแหลกโบนัสพัฒนาพื้นที่ ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมืองเกาะแนวถนนวงแหวนรอบนอก-รถไฟฟ้าหลากสี จับตา 5 ทำเลเด่น "พระรามที่ 2-มีนบุรี-รามอินทรา-ร่มเกล้า-ตลิ่งชัน"
นายเกรียงพล พัฒนรัฐ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ยืนยันว่าร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 3) จะมีผลบังคับใช้ทัน 15 พฤษภาคมนี้แน่นอน ล่าสุดอยู่ระหว่างเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง จากนั้นเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายนนี้ และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามตามขั้นตอน
"ดูเงื่อนไขเวลาแล้วสามารถออกประกาศทัน 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้เกิดเร็วขึ้น เราทำงานคู่ขนานกันสำหรับขั้นตอนเสนอ ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าขั้นตอนจะเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน เพราะหากไม่รีบดำเนินการจะทำให้กรุงเทพฯไม่มีผังเมืองใช้ และเกิดภาวะสุญญากาศได้"
สำหรับภาพรวมผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ หน้าตาของสีผังเมืองจะไม่ต่างจากผังเมืองรวมฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้เมื่อปี 2549 มีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น บริเวณนอร์ธปาร์ค ปรับจากเดิมสีเขียว เป็นสีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) บริเวณใกล้ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นสีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) ให้เป็นพื้นที่สีส้ม เป็นต้น
นอกจากนี้ จะเพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดรับกับสภาพเมืองปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่ม มีการสร้างศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ และที่อยู่อาศัยมากขึ้น
"คอนเซ็ปต์ผังเมืองฉบับใหม่จะเน้นเรื่องภาวะโลกร้อนให้กรุงเทพฯ เป็นกรีนซิตี้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและประหยัดพลังงาน ให้พื้นที่ชั้นในเป็นเมืองที่คอมแพ็กต์ จะสร้างศูนย์ชุมชนชานเมืองหรือซับเซ็นเตอร์ในรัศมีใกล้ถนนวงแหวนรอบนอกทั้งตะวันตกและตะวันออกมารองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในให้กระจายตัวไปออกไปมากขึ้น รวมถึงให้เป็นผังเมืองรวมที่กำหนดแนวทางจะรับมือกับภัยพิบัติ หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554" นายเกรียงพลกล่าวและว่า
เพิ่มขนาดถนน-ระยะถอยร่น
สำหรับข้อแตกต่างร่างผังเมืองใหม่กับผังเมืองปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.เพิ่มแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค เช่น จะมีทั้งโครงการปรับปรุง-ขยายคลองระบายน้ำสายต่าง ๆ โครงการสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ โครงการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ เพื่อแสดงให้ชาวบ้านได้รู้ว่าตรงไหนควรจะสร้างที่อยู่อาศัยได้ จุดไหนจะเป็นทางไหลผ่านของน้ำ จะได้ไม่ไปสร้างสิ่งกีดขวางระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ที่ผ่านมา
2.เพิ่มการควบคุมกิจกรรมที่ขัดต่อสุขลักษณะ 5 กิจกรรม เช่น สนามแข่งรถ สนามแข่งม้า สนามยิงปืน

3.ยกเลิกการกำหนดร้อยละของกิจกรรมรอง

4.เปลี่ยนเกณฑ์จำแนกประเภทอาคาร จากเดิมใช้ตามกฎหมายความคุมอาคาร เช่น อาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ ในร่างใหม่จะจำแนกตามขนาดพื้นที่การประกอบกิจกรรม ได้แก่ ไม่เกิน 1,000-2,000-10,000 ตารางเมตร และเกินกว่า 10,000 ตารางเมตร
5.เปลี่ยนเงื่อนไขการสร้างอาคารที่อยู่ในเขตทางถนนสาธารณะ เพิ่มระยะการใช้ประโยชน์ที่ดินตามความกว้างถนนใหม่ ได้แก่ ถนนขนาดไม่น้อยกว่า 12 เมตร มีระยะถอยร่น 200 เมตร ถนน 16 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร และถนน 30 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร

6.เพิ่มข้อกำหนดให้มีพื้นที่น้ำซึมผ่านได้เพื่อปลูกต้นไม้ 50% ของอัตราส่วนพื้นที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวม (0SR)
แจกโบนัส 20% จูงใจเอกชน
7.เพิ่มมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เจ้าของที่ดิน ด้วยการให้โบนัสไม่เกิน 20% ในการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่สร้างอาคารใหม่ เป็นการเพิ่มนอกเหนือจากได้โบนัสในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

โดยมีเงื่อนไขว่า 

1.จะต้องจัดให้มีพื้นที่รับน้ำในแปลงที่ดินที่ขออนุญาต กักเก็บน้ำได้ไม่น้อยกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรต่อที่ดิน 50 ตารางเมตร จะได้โบนัสสร้างพื้นที่อาคารใหม่ได้ไม่เกิน 5% หากมากกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรได้โบนัสไม่เกิน 20% 

2.จัดให้มีอาคารประหยัดพลังงาน (กรีนบิลดิ้ง) ตามมาตรฐานมูลนิธิอาคารเขียวที่ไทยรองรับ แยกเป็นระดับที่ 1 (Certified) ได้โบนัสไม่เกิน 5% ระดับที่ 2 (Silver) ได้ไม่เกิน 10% ระดับที่ 3 (Gold) ไม่เกิน 15% และระดับที่ 4 (Platinum) ไม่เกิน 20%
3.จัดให้มีที่จอดรถยนต์โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน บีทีเอส แอร์พอร์ตลิงก์ สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เช่น สถานีศูนย์วัฒนธรรม สถานีอ่อนนุช สถานีลาดกระบัง สถานีหัวหมาก สถานีบางบำหรุ สถานีตลิ่งชัน สถานีอุดมสุข สถานีแบริ่ง สำหรับคนทั่วไปเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่จอดรถยนต์ของอาคารสาธารณะ มีโบนัสสร้างอาคารเพิ่มได้ไม่เกิน 20%
4.จัดให้มีพื้นที่สาธารณะ หรือสวนสาธารณะบนพื้นที่ดินประเภทสีแดง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) "ย.8-ย.10" พื้นที่สีแดง (พาณิชยกรรม) "พ.1-พ.5" เจ้าของที่ดินจะได้โบนัสเพิ่มไม่เกิน 20% 5.สร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่าท้องตลาดสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมภายในพื้นที่โครงการ
ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมือง
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับซับเซ็นเตอร์หรือศูนย์ชุมชนชานเมืองที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมฉบับใหม่ จะเป็น เมืองรองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในออกมายังพื้นที่แนววงแหวนรอบนอกและรถไฟฟ้าสายใหม่ที่จะพาดผ่าน เพื่อลดการเดินทางเข้าไปในเมือง
ทั้งนี้ มี 5 แห่งที่เป็นพื้นที่มีศักยภาพ เช่น ย่านตลิ่งชันบริเวณถนนฉิมพลี อยู่ในแนวรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ย่านมีนบุรีใกล้ตลาดมีนบุรี แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีส้มมาบรรจบกัน ย่านพระรามที่ 2 ใกล้กับถนนวงแหวนรอบนอก ย่านร่มเกล้าในแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู และย่านถนนรามอินทราใกล้จุดตัดถนนรัชดา-รามอินทรา แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู
นอกจากนี้ จะเพิ่มการขยายตัวของย่านพาณิชยกรรมรอง ส่งเสริมในบางพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ การค้า การบริการ และนันทนาการ เช่น ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ บริเวณนวมินทร์ อเวนิวที่มีการสร้างคอมมิวนิตี้มอลล์อยู่หลายแห่ง, บริเวณศูนย์การค้าซีดีซี (คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์) ตรงเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, แยกบางนาที่มีโครงการเมกะบางนาเข้าไปพัฒนารอไว้แล้ว เป็นต้น
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับผังแสดงโครงข่ายคมนาคมนั้น ในรายละเอียดจะมีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 12 สายทาง ตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และแนวเส้นทางถนน 140 สาย มีทั้งขยายถนนเดิมและแนวตัดถนนใหม่

เซ็นทรัลขึ้นศูนย์การค้าแห่งใหม่ 14 แห่งทั่วประเทศ

เซ็นทรัลขึ้นศูนย์การค้าแห่งใหม่ 14 แห่งทั่วประเทศ
กลุ่มเซ็นทรัลเตรียมสยายปีกปักธง 14 สาขาใหม่ครอบคลุมเต็มพื้นที่ เดินหน้าโมเดล 2 ผสานนำทัพ "เซ็นทรัลพัฒนา" เจาะหัวเมืองสำคัญ สมุย ระยอง บางใหญ่ พุทธมณฑล 

ด้าน "เซ็นทรัลรีเทล" รุกพัฒนาพื้นที่เอง ส่ง "โรบินสัน" เปิดตลาดหัวเมืองรอง สุรินทร์ สระบุรี ร้อยเอ็ด ปราจีนบุรี พร้อมสปีดยุทธศาสตร์ควบรวมกิจการหวังโตก้าวกระโดด เป้าหมายรายได้ทะลุ 2 แสนล้านบาท
ชัดเจนว่าระหว่างปี 2556-2557 ที่จะถึงนี้ เครือเซ็นทรัลธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของไทยจะใช้ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และบุคลากร ขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง จากปัจจุบันมีเครือข่ายสาขา กระจายในเมืองหลัก ๆ ทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว
รายงานข่าวจากเครือเซ็นทรัลระบุว่า ช่วงเวลา 2 ปีดังกล่าว การขยายตัวศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลจะเปิดเพิ่มอีก 14 สาขา โดยเป็นการลงทุนในนามของเซ็นทรัลพัฒนาและการหันมาลุยพัฒนาพื้นที่ด้วยตัวเองของเซ็นทรัลรีเทล

สำหรับการเติบโตของบริษัทในเครือ โดยที่ผ่านมาโรบินสันได้เริ่มนำร่องทดลองการขยายศูนย์การค้าในรูปแบบสแตนด์อะโลนด้วยตัวเองบ้างแล้ว ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรองและหัวเมืองขนาดย่อม ทำให้การขยายตัวไปได้รวดเร็วและไม่ต้องรอศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ที่มีเซ็นทรัลพัฒนาเปิดสาขาเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ตามแผนการลงทุนปี 2556-2557 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เตรียมขยายสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา 7 แห่ง คาดว่าต้องใช้เงินทุนหลายพันล้านบาท อยู่ในพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี หาดใหญ่ เชียงใหม่ (สาขาที่ 2) เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ในปี 2556
จากนั้นในปี 2557 จะเปิดศูนย์การค้าอีก 3 แห่ง คือ พุทธมณฑล ระยอง และบางใหญ่ นนทบุรี โดยสาขาพุทธมณฑลอยู่บนถนนบรมราชชนนี เยื้อง ๆ กับโรงพิมพ์วัฏจักรเดิม ขณะนี้เซ็นทรัลกำลังก่อสร้างไทวัสดุ ส่วนบางใหญ่จะอยู่ติดกับบิ๊กซี อย่างไรก็ตามแผนการสร้างศูนย์การค้าของ CPN จะยังไม่มีโครงการที่สวนลุมไนท์และไทเมล่อน รวมอยู่ด้วย
"การลงทุนสร้างศูนย์การค้าโดยเฉพาะพุทธมณฑลและบางใหญ่ ซึ่งเซ็นทรัลซื้อที่ดินเก็บไว้นานแล้วเพื่อรองรับกับการขยายตัวของชุมชนบริเวณรอบ ๆ กรุงเทพฯ ประกอบกับศูนย์การค้าใกล้เคียงอย่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาก"
ส่วนจังหวัดในระดับรอง ๆ หรือหัวเมืองขนาดย่อม กลุ่มเซ็นทรัลรีเทลจะเป็นคนพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าด้วยตัวเอง โดยมีโรบินสันเป็นหัวขบวนหลักในการพัฒนาพื้นที่และดึงบริษัทในเครือเข้าไปร่วมเปิด อาทิ เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ซูเปอร์สปอร์ต และออฟฟิศ ดีโป้ เป็นต้น 

โดยแผนการลงทุนในปี 2556-2557 ในนามบริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) จะเปิดในต่างจังหวัด 7 แห่ง แบ่งเป็นในปี 2556 เปิดที่กาญจนบุรี สกลนคร สุรินทร์ สระบุรี ส่วนปี 2557 จะมีปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด ควบคู่กับการขยายสาขาของ "โฮมเวิร์ก" ที่เน้นพัฒนาพื้นที่ในลักษณะของสแตนด์อะโลนไปพร้อม ๆ กัน ตามแผนการลงทุนในช่วง 2 ปีดังกล่าวนี้จะขยายอีก 4 สาขา ที่ขอนแก่น เชียงใหม่ (แอร์พอร์ตพลาซ่า) แจ้งวัฒนะ และถนนศรีนครินทร์
ก่อนหน้านี้ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจภายใน 5 ปีของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจะขยาย 5 สาขา ในกรุงเทพฯ 2 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา ที่จะเปิดบริการก่อนคือ เซ็นทรัลหาดใหญ่ ในเดือนตุลาคม 2556 และเชียงใหม่ สาขา 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ด้วยเงินลงทุนสาขาละ 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 25,000 ตร.ม.
เช่นเดียวกับการเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ได้เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าเซ็นในจีนแล้ว 4 สาขา และเตรียมขยายสาขาแรกห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในอาเซียน นำร่องอินโดนีเซียเป็นแห่งแรก
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตก้าวกระโดดด้วย "การควบรวมกิจการและการร่วมทุน" จะยังเป็นหัวใจสำคัญของการขยายธุรกิจต่อจากนี้ ไม่เพียงการซื้อกิจการลารีนาเซนเต้ ห้างหรูจากอิตาลี 1 หมื่นล้านบาท 

แล้วการเข้าถือหุ้นหลักในคอนวีเนียนสโตร์ "แฟมิลี่มาร์ท" หรือการเพิ่มทุนฮุบ "ออฟฟิศเมท" ในธุรกิจอุปกรณ์สำนักงานรวมถึงการยังมีที่ดินแปลงงามในมืออีกหลายแห่ง โดยเฉพาะไทเมล่อน และสวนลุมฯที่เตรียมขึ้นเป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ในอนาคตของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยเป้าหมายการผลักดันยอดขายให้ได้ 2 แสนล้านในเร็ววัน จากปีนี้ที่คาดว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะสามารถปิดยอดขายได้ 1.8 แสนล้านบาท


ขอบคุณ sanook

ขอบคุณภาพ central.co.th

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สยามสแควร์ครองแชมป์ที่ดินแพงสุดในไทย

สยามสแควร์ครองแชมป์ที่ดินแพงสุดในไทย
AREA เผยราคาที่ดินกลางเมืองย่านสยามสแควร์แพงสุดสุดในไทย คาดสิ้นปีนี้แตะตร.ว.ละ 1.7 ลบ. ชี้เป็นจุดเชื่อมต่อบีทีเอส-ย่านการค้า
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า ในพื้นที่บริเวณติดถนนพระรามที่ 1 รอบรถไฟฟ้าสยามสแควร์ ชิดลมและเพลินจิต ราคาที่ดินตามราคาตลาดที่พึงวิเคราะห์ได้ตามศักยภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินสูงสุด เป็นเงินตารางวาละ 1.5 ล้านบาท หรือ 600 ล้านบาทต่อไร่

และแนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาที่ดินใจกลางเมือง เช่น สยามสแควร์ ชิดลมและเพลิตจิต ยังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่คงไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงตารางวาละ 2 ล้านบาทในปี 56 นี้ แต่คงเป็นเพียงราว 1.7 ล้านบาท ณ สิ้นปีนี้ และคาดว่ายังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อมีโครงข่ายรถไฟฟ้าออกนอกเมือง เพราะยิ่งทำให้ประชาชนสามารถเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้น"นายโสภณ ระบุ
ทั้งนี้ จากปี 37 ราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวอยู่ที่ประมาณตารางวาละประมาณ 400,000 บาท และเพิ่มเป็น 430,000 บาทในปี 39 แต่พอถึงปี 40-41 ราคาที่ดินตกต่ำลงเหลือเพียงตารางวาละ 380,000 บาท หรือลดลง 5% จากนั้นราคากลับมาที่จุดสูงสุดอีกครั้งในปี 45 หรืออีก 6 ปีต่อมา อย่างไรก็ตามปี 55 นี้ มีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3 เท่าในระยะเวลาประมาณเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา คาดว่าในเดือน ธ.ค.56 ราคาน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา
อย่างไรก็ตาม คงต้องประเมินในรายละเอียดในเวลาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการที่ราคาที่ดินที่สยามสแควร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เพราะว่า มีรถไฟฟ้าบีทีเอส 2 สายมาบรรจบกัน ทำให้ศักยภาพของที่ดินดี การเดินทางสะดวก และโดยที่เป็นแหล่งค้าปลีกที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพมหานครหรือประเทศไทยโดยรวม จึงยิ่งทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และยิ่งรถไฟฟ้าขยายตัวออกไปนอกเมืองเท่าไหร่ ก็เท่ากับจะสามารถนำคนเข้ามายังใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และจะทำให้มูลค่าที่ดินใจกลางเมืองยิ่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ
จาก sanook

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง



ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“
รัฐบาลเพื่อไทยปิ๊งไอเดียผุดเมืองใหม่แนวไฮสปีดเทรน 4 สาย 36 สถานี กรมโยธาฯรับลูกวางผังเมืองใหม่ล็อกการพัฒนา เล็งทุกสถานีผุดเมืองครบทุกจังหวัดรองรับ ระบุพิกัดสเป็กห่างจากตัวเมืองรัศมี 8-10 กม. เจรจา สนข.ขยับที่ตั้งสถานีใหม่ ด้าน สนข.ลั่นคงไม่ได้ทุกสถานี ชี้ได้แค่สถานีปลายทาง และสร้างบนพื้นที่เปิดใหม่ "พิจิตร-พิษณุโลก-นครสวรรค์-อยุธยา-ปากช่อง-โคราช-เพชรบุรี-หัวหิน"
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ได้หารือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ถึงแนวทางการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงใน 4 สายทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 2.กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้บูรณาการร่วมกัน

โยธาฯขอจุดพลุเมืองใหม่ทุกสถานี
โดยกรมโยธาฯต้องการดูจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงแต่ละสายเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะเพิ่มมูลค่าให้โครงการเพื่อให้คืนกลับมาเป็นรายได้จึงให้กรมโยธาฯดูการวางผังเมืองและพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและอาจจะมีเมืองใหม่เกิดขึ้นในแนวโครงการด้วย
กรมโยธาฯมีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ทุกสถานีและขอให้ขยับตำแหน่งสถานีห่างจากในเมืองออกไปอีกโดยกรมโยธาฯเสนอจะนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีจะช่วยลดการเวนคืนที่ดินได้เนื่องจากจะให้เจ้าของที่ดินมาร่วมพัฒนาตามที่ออกแบบไว้ในผังเมืองเหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้วโดยกรมโยธาฯจะกันพื้นที่ไว้6-10ตารางกิโลเมตรในรัศมีรอบสถานีเพื่อพัฒนาที่ดิน
"เป็นไปได้ยากจะมีเมืองใหม่ทุกสถานี การขยับสถานีต้องดูหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงโครงข่ายคมนาคม การเติบโตของเมือง คงจะทำได้เป็นบางสถานีที่เป็นจุดที่ตั้งใหม่"
ส่วนสถานีที่เป็นสถานีรถไฟเดิมพื้นที่แคบมีจำกัด ยกเว้นมีที่ราชพัสดุจะสามารถขอใช้ที่ดินได้ ซึ่ง สนข.ได้หารือร่วมกับกรมธนารักษ์ขอใช้ที่ดินสร้างสถานีบางแห่งแล้ว เช่น สถานีปากช่อง ประมาณ 500 ไร่ สร้างสถานี 150 ไร่ ที่เหลือกรมธนารักษ์ให้เอกชนมาพัฒนาสร้างรายได้ระยะยาว

สนข.เน้นแค่สถานีปลายทาง
"แนวคิดเมืองใหม่นี้ที่ปรึกษาศึกษาโครงการให้สนข.ใน3 สายทาง คือสายเหนือ อีสาน และใต้ ในเฟสแรกมีกำหนดเบื้องต้นเป็นสถานีปลายทางคือพิษณุโลก โคราช หัวหิน ส่วนสายไประยองอยู่ที่การรถไฟกำหนด เช่นที่หัวหินสถานีเดิมอาจจะคับแคบ จะขยับมาทางชะอำหรือขึ้นไปทางปราณบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ในอนาคต ส่วนสถานีระหว่างทางต้องดูศักยภาพก่อนว่าเหมาะหรือไม่"
นายจุฬากล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กรมโยธาฯจะให้ขยับตำแหน่งสถานีนครสวรรค์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปอีก 2 กิโลเมตร เนื่องจากในบริเวณนี้มีที่ดินของกรมธนารักษ์อยู่กว่า 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาในอนาคตได้ ทั้งเชิงพาณิชยกรรมและสร้างเมืองใหม่

พิจิตร-ปากช่อง-นครสวรรค์ติดโผ
แหล่งข่าวจาก สนข.เปิดเผยว่า กรมโยธาฯจะให้ย้ายตำแหน่งทุกสถานีใหม่ทั้งหมดไปนอกเมืองประมาณ 8-10 กิโลเมตร เนื่องจากจะสร้างเมืองใหม่รองรับทุกสถานีในแนวรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังไม่สรุป จะต้องหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุนในการพัฒนาอีก รวมถึงเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาด้วย จะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะถ้าทำตามแนวคิดของกรมโยธาฯจะต้องรื้อเส้นทางใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในหลักการของ สนข.ที่ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษานั้น มีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ให้พัฒนาควบคู่ไปกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว เบื้องต้นเป็นพื้นที่สถานีที่สร้างใหม่ เช่น สถานีพิจิตร ปากช่อง นครสวรรค์ เพชรบุรี เป็นต้น ขณะที่กรมโยธาฯได้ทำโมเดลตัวอย่างเมืองใหม่นั้นมีประมาณ 3-4 จังหวัด ขนาดพื้นที่เมืองประมาณ 2,000-5,000 ไร่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่อยุธยาจะมีให้เลือก 3-4 เมือง เช่น ภาชี สถานีอยุธยาเดิมที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

เล็งนำจัดรูปที่ดินมาใช้
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมไปเสนอแนวคิดให้ สนข.พิจารณาว่าการกำหนดสถานีนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองและลดปัญหาการจราจรนั้นควรจะอยู่ตรงไหนซึ่งกรมมองว่าควรจะขยับตำแหน่งสถานีออกจากตัวเมืองมาประมาณ10กิโลเมตรเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น แต่ยังไม่สรุปชัดเจน เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น
"เราจะดีไซน์เมืองให้ดูว่า เมืองใหม่ควรจะเป็นแบบไหน จะมีครบทุกอย่างเหมือนเป็นชุมชนหนึ่ง เช่น ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พร้อมกับเสนอนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินมาดำเนินการ จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่เสียประโยชน์ที่จะถูกรัฐเวนคืนที่ดิน แต่อยู่ที่นโยบายของรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่"

เปิดตำแหน่งทุกสถานี 4 สายทาง
สำหรับจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย เบื้องต้นมี 36 สถานี สายกทม.-เชียงใหม่ 669 กิโลเมตร มี 12 สถานี ได้แก่ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เฟสแรก "กทม.-พิษณุโลก" 382 กิโลเมตร มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบางซื่อ อยู่ชั้น 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีดอนเมือง อยู่สถานีรถไฟเดิม 3.สถานีอยุธยา มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมและที่สถานีบ้านม้าห่างจากสถานีเดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร 4.สถานีลพบุรี อยู่ที่เดิม แต่จะเจาะอุโมงค์ลอดใต้ดิน 5.สถานีนครสวรรค์ มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่สถานีรถไฟเดิมหรือที่สถานีปากน้ำโพ 6.สถานีพิจิตร จะสร้างใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปด้านขวา 1 กิโลเมตร และ 7.สถานีพิษณุโลก มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่กองบิน 46
สายกทม.-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เฟสแรก "กทม.-หัวหิน" 225 กิโลเมตร สร้างไปตามแนวรถไฟสายใต้เดิมจากบางซื่อ ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และปลายทางที่หัวหิน มี 4 สถานี ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และหัวหิน จะมีสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือสถานีเพชรบุรีจะเบี่ยงออกมาอยู่บนถนนเพชรเกษมใกล้สถานีขนส่งจังหวัด
ส่วน "หัวหิน-ปาดังเบซาร์" ยังไม่ได้ศึกษา แนวโน้มจะจอดสถานีรถไฟเดิม มี 7 สถานี เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และปาดังเบซาร์
สายกทม.-หนองคาย 615 กิโลเมตร จะขนานไปกับแนวรถไฟสายอีสาน ช่วง "กทม.-บ้านภาชี" จะใช้แนวเขตทางร่วมกับสายเหนือ สำหรับที่ตั้งสถานีในเฟสแรก "กทม.-นครราชสีมา" 250 กิโลเมตร มี 3 สถานี
1.สถานีสระบุรี มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่ถนนวงแหวนรอบนอกตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่ 2.สถานีปากช่อง จะสร้างสถานีใหม่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปทางตัวเมืองโคราช 5 กิโลเมตร เนื้อที่ 500 ไร่ และ 3.สถานีโคราช มี 2 ทางเลือก คือสถานีรถไฟเดิมและสถานีภูเขาลาด จะมีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่
ส่วนต่อขยาย "นครราชสีมา-หนองคาย" จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟเดิม มี 4 สถานี คือ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีขอนแก่น ใช้สถานีเดิม แต่จะขยายพื้นที่เพิ่มมายังบนสนามกอล์ฟของการรถไฟฯมีอยู่ 200 ไร่ 3.สถานีอุดรธานี จะสร้างที่สถานีเดิมพื้นที่ 200 ไร่ หรือหาที่สร้างใหม่นอกเมือง และ 4.สถานีหนองคาย อยู่ตรงสถานีเดิมบนพื้นที่ 200 ไร่
สำหรับสายกทม.-ระยอง 221 กิโลเมตร จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟสายตะวันออก วิ่งจากมักกะสันตรงไปจนถึงปลายทางที่ระยอง มี 6 สถานี อยู่ตำแหน่งสถานีรถไฟเดิม ได้แก่ มักกะสัน ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พัทยา และระยอง

จาก sanook

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สามเหลี่ยมอาชญากรรม Crime Triangle


 ทฤษฎีสามเหลี่ยอาชญากรรม (Crime Triangle Theory)  ได้อธิบายถึงสาเหตุหรือองค์ประกอบของการเกิดอาชญากรรม ประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ของสามเหลี่ยม 3 ด้าน คือ
          1. ผู้กระทำผิด/คนร้าย (Offender) หมายถึง ผู้ที่มีความต้องการ (Desire) จะก่อเหตุหรือลงมือกระทำความผิด
          2. เหยื่อ (Victim)/เป้าหมาย (Target) หมายถึง บุคคล สถานที่ หรือวัตถุสิ่งของ ที่ผู้กระทำผิดหรือคนร้าย มุ่งหมายกระทำต่อ หรือเป็นเป้าหมายที่ต้องการ
          3. โอกาส (Opportunity) หมายถึง ช่วงเวลา (Time) และสถานที่ (Place) ที่เหมาะสมที่ผู้กระทำผิดหรือคนร้าย มีความสามารถจะลงมือกระทำความผิดหรือก่ออาชญากรรม