วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ“เออีซี“ แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ“เออีซี“ แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน
นายวิวัฒน์ชัย จิวาศักดิ์อภิมาศ รองประธานและเลขาธิการหอการค้าจังหวัดหนองคาย และผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า 

ราคาที่ดินของจังหวัดหนองคายตอนนี้ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูงมาก ราคาที่ซื้อขายกันจริงๆ ส่วนใหญ่จะสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้มาก และที่สำคัญมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรกัน ส่งผลให้ราคาซื้อขายจริงสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และที่ดินริมถนนสายที่ตัดจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวนั้น ขณะนี้บูมกว่าทุกจุด อาคารพาณิชย์จากเดิมที่มีการซื้อขายกันที่ห้องละ 1.9-2 ล้านบาท สูงขึ้นเป็น 5-7 ล้านบาท 

ส่วนราคาที่ดินที่ซื้อ-ขายนั้นก็สูงกว่าราคาประเมินหลายเท่าตัว ล่าสุดที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินล่าสุดที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อไร่
ทางด้าน นายวีระชัยโชค มงคลภูมิรัตน์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายขณะนี้ถือว่าสูงมากจนเต็มเพดาน เฉพาะค่าเช่าก็ยังสูงเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีการเช่าที่ 30 ไร่ 30 ปี ค่าเช่าสูงถึง 60 ล้านบาท ส่วนราคาขายที่ดินในตัวเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจหลัก พื้นที่กว่า 4 ไร่ ขายกันที่กว่า 100 ล้าน ที่ริมแม่น้ำโขง 3 ไร่ ขาย 75 ล้านบาท 

โดยมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น ซีพี แสนศิริ รวมไปถึงกลุ่มทุนที่เกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัย ได้เข้ามาหาที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 คาดกันว่าจะมีนักลงทุนจากต่างชาติ
เข้ามาในจังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก มีการขออนุญาตสร้างรีสอร์ต โรงแรมขนาดใหญ่ 7 ชั้นริมถนนหนองคาย-โพนพิสัย รวมไปถึงโฮมโปรที่ได้ลงมือก่อสร้างไปแล้ว การลงทุนโครงการใหญ่ๆ ข้างต้นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ปรับราคาขึ้นตามไปด้วย ทำให้ขณะนี้คนหนองคายระดับรากหญ้าจนถึงระดับกลาง ยากที่จะมีที่ดิน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านและอาคารพาณิชย์ในเขตเมืองเป็นของตัวเอง
การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเริ่มคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2555 จนถึงขณะนี้การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายคึกคักมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับปี 2554 แล้ว ราคาที่ดินและอาคารพาณิชย์ปรับขึ้นจากเดิม 2-3 เท่าตัว จากกระแสข่าวที่มีความเป็นไปได้สูงที่โครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการจะเข้ามา
ดำเนินการในเร็วๆ นี้ ประกอบกับจังหวัดหนองคายเป็นหน้าด่านในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมีการเปิดเออีซีในปี 2558 จึงทำให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ มีกลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินเป็นแปลงใหญ่ตั้งแต่ 50-300 ไร่ เพื่อขายให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาตั้ง ยิ่งส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายมีราคาสูงเกินจริงขึ้นไปอีก ที่ดินที่มีการซื้อขายกันขณะนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เจ้าของขายเอง แต่เป็นมือที่ 3-4 แล้ว
สำหรับราคาประเมินที่ดินที่สูงที่สุดนั้นจะอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย โดยเฉพาะที่ดินที่ติดกับถนนประจักษ์ที่เป็นถนนสายหลักภายในเขตเทศบาลราคาประเมินสูงมาก อยู่ระหว่าง 8-10 ล้านบาทต่อไร่ แต่การซื้อขายกันจริงๆ แล้วสูงกว่าราคาประเมินมาก โดยเฉพาะแปลงสวยๆ นั้นราคาซื้อขายกันจริงๆ จะสูงเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนที่ดินริมโขงภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคายนั้น ราคาประเมินอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านบาท แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงกว่านี้
จุดที่มีการซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินอีกจุดหนึ่ง คือที่ดินริมถนนสายจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งขณะนี้ถือเป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์มากกว่า 100 ห้อง ก็สามารถขายได้หมดภายในเวลาไม่นาน ราคาประเมินที่ดินริมถนนเส้นนี้อยู่ที่ประมาณ 1.8-2 ล้านบาทต่อไร่ แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงถึง 8-9 ล้านบาทต่อไร่เลยทีเดียว
ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม
ถ้าพูดถึงชีวิตเมืองจะไม่พูดถึงคอนโดคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่าคอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมสำหรับคนสมัยใหม่ ที่ชอบความสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์อิสระ 

จนทำให้ตลาดคอนโดเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าคอนโดทุกที่จะขายดีเสมอไปซะเมื่อไหร่ เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้คนเลือกซื้อคอนโดนั้น นอกราคาสมเหตุสมผล ดีไซน์ที่โดนใจแล้ว เรื่องทำเลที่ตั้ง และสภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ วันนี้เราจึงมี 10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม ในกรุงเทพฯ มาอัพเดท เผื่อว่าใครกำลังมองหาเลือกซื้อคอนโดอยู่จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น

อันดับ 10 ย่านบางนา-ศรีนครินทร์
ทำเลย่านถนนบางนา โดยเฉพาะช่วงถนนบางนา กม.3-4 มีศักยภาพที่สูงมากในอนาคตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากเป็นศูนย์พาณิชยกรรมหลากหลายทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอื่นๆ จุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่เชื่อมต่อพื้นที่สนามบินกับศูนย์กลางธุรกิจชั้นในของกรุงเทพฯ ปัจจัยเอื้อทางข้อกำหนดผังเมืองที่สามารถพัฒนาได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ปัจจัยทางด้านโครงข่ายคมนาคมที่เสริมศักยภาพในอนาคต จึงทำให้บางนา-ศรีนครินทร์เป็นหนึ่งในทำเลยอดฮิตที่คนนิยมเลือกซื้อหา แม้ว่าจะดูเหมือนไกล แต่ก็ใกล้ด้วยระบบการขนส่งมวลชนที่สามารถพาคุณเข้าสู่กลางใจเมืองได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย และบริเวณนั้นยังใกล้ศูนย์การค้า เช่น ซีคอนสแควร์ เซ็นทรัล เมคกะบางนา และสถานศึกษาชื่อดัง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อันดับ 9 ย่านลาดพร้าว-โชคชัย 4
จุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยเฉพาะซอยโชคชัย 4 ที่มีความเจริญมากที่สุดบนถนนลาดพร้าว บริเวณนี้มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ต้นถนนลาดพร้าว เริ่มด้วยเซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ โฮมโปร คาร์ฟูร์ บิ๊กซี ลาดพร้าว ฟู้ดแลนด์ ตะวันนา แมคโคร โลตัส รวมถึงเดอะมอลล์บางกะปิที่ตั้งอยู่ปลายถนนลาดพร้าว มีตลาดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งอาหารมากมาย เช่น ตลาดโชคชัย 4 และตลาดสะพาน 2 ที่ช่วยสร้างความคึกคักให้กับบริเวณนี้เป็นอย่างมาก มีแหล่งงานอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณรัชดา จตุจักร รวมถึงพระราม 9 สุขุมวิท และในย่าน CBD ทั้งนี้ เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกโดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานศึกษาชื่อดัง อาทิ โรงเรียนบดินทร์เดชา สิงห์ สิงหเสนีย์ และ โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นต้น รวมทั้งสถานพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลลาดพร้าว และโรงพยาบาลเวชธานี เป็นต้น
อันดับ 8 ย่านปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี
ทำเลปิ่นเกล้าถือเป็นประตูสู่เมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตก ในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เปิดให้บริการได้ในปี 2559 โดยจะวิ่งอยู่เหนือถนนจรัญสนิทวงศ์ (หัวลำโพง-บางแค-บางซื่อ) ทำให้เพิ่มความสะดวกในการเดินทางในย่านนี้มากขึ้น การที่บริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับฝั่งพระนคร พื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งมีหน่วยงานราชการที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ ศาลหลักเมือง และสนามหลวง เป็นต้น อีกทั้งบริเวณปิ่นเกล้าเป็นย่านธุรกิจที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง หรือแม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี 1 โรงพยาบาลเจ้าพระยา รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่สำคัญเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล จึงถือได้ว่าเป็นอีกทำเลที่พักอาศัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อันดับ 7 พหลโยธิน-สะพานควาย
ทำเลบนถนนพหลโยธินชั้นใน ย่านอารีย์ - สะพานควาย ถือเป็นแหล่งรวมธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า ซอยอารีย์ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของกรมสรรพากรและอยู่ใกล้กับซอยราชครู ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของคนนามสกุลเก่าแก่ จึงถือเป็นซอยที่มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ ส่วนบริเวณปากซอยนั้นค่อนข้างคึกคัก เพราะมีโครงการลาวิลล่า อารีย์ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ ประชิดทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์แบบห่างแค่ปลายจมูก ถือเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่คึกคักทั้งกลางวันและเย็น เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศจำนวนมาก อาทิ อาคารเอ็กซิมแบงก์, อาคารพหลโยธินเพลส ฯลฯ ถัดไปที่บริเวณแยกสะพานควายมุ่งหน้าข้ามสี่แยกไฟแดง บริเวณนี้ก็ยังคงคึกคักเพราะมีศูนย์การค้าบิ๊กซีตั้งอยู่ จากสะพานควายข้ามแยกมาจะเจอกับตลาดนัดจตุจักร นับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลน่าอยู่ที่ไม่ควรมองข้าม
อันดับ 6 ย่านอ่อนนุช-พระโขนง
ทำเล "อ่อนนุช-พระโขนง" ยังคงร้อนแรงด้วยข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่มีแนวรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเขตเองด้านในและเขตเมืองรอบนอก ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงอีกแหน่งหนึ่ง ย่านชุมชนที่คึกคักที่สุดของซอยอ่อนนุชคือบริเวณ "แยกอ่อนนุช" บริเวณหัวถนนฝั่งสุขุมวิทที่มีร้านค้าและตลาดสดตั้งอยู่ และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชประมาณ 100-200 เมตรเท่านั้น ในละแวกปากซอยอ่อนนุชและฝั่งตรงกันข้าม เมื่อเข้าไปภายในซอยอ่อนนุชจะพบว่า ฝั่งขวามือมีความคึกคักมาก เพราะมี "บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า" ตั้งอยู่ ร้านค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นแผงขายของกินหรือเปิดเป็นร้านขายอาหาร ร้านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ร้านกาแฟ ร้าน 7-ELEVEN บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน และมีรถสองแถว-มอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งให้บริการต่อเนื่อง เสน่ห์ของซอยอ่อนนุชคือเป็นซอยที่มีรถเข้า-ออกตลอดทั้งวัน เพราะเป็นซอยที่สามารถทะลุไปออกถนนศรีนครินทร์ (ช่วงซีคอนสแควร์) ที่บริเวณปากซอยสุภาพงษ์ได้ ขณะที่ซอยอ่อนนุช 17 39 และ 43 ก็ใช้เป็นเส้นทางไปทะลุออกถนนพัฒนาการได้ด้วย
อันดับ 5 ย่านรัชดา-ห้วยขวาง
เป็นทำเลที่มีการสัญจรไปมาได้สะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน และเป็นจุดเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ถนนอโศก ที่เป็นแหล่งสำนักงาน สถานศึกษา อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ทั้งเอสพลานาด เซ็นทรัลพระราม 9 รวมถึงอยู่ใกล้โรงพยาบาลชื่อดังหลายแห่ง ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ย่านรัชดา-ห้วยขวาง จะกลายเป็น New CBD หรือ New Central Business District แห่งใหม่ ในอนาคต
อันดับ 4 ย่านคลองเตย พระราม 4
ทำเลย่านพระราม 4 คลองเตยได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ทั้ง BTS, MRTและ แอร์ พอร์ตลิงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสถานศึกษาชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นแหล่งธุรกิจขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากแห่งหนึ่ง
อันดับ 3 ย่านตากสิน-กรุงธนบุรี
ย่านตากสิน-ธนบุรี ได้กลายเป็นทำเลทองที่ไม่เคยหยุดความร้อนแรง คอนโดมิเนียมมีให้เลือกมากมาย เพราะอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายสีลม เป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมมากที่สุด โดยเฉพาะย่านเจริญกรุง เจริญนคร สถานีธนบุรี ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับบน อยู่ติดถนนใหญ่ และด้วยแนวถนนที่ตัดตรงต่อเนื่องจากถนนสาทรโดยตรง ทำให้การเดินทางเข้าเขตศูนย์กลางธุรกิจของพื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงเป็นอีกทำเลหนึ่งที่น่าพิจารณา
อันดับ 2 ย่านสีลม-สี่พระยา
ย่านสีลม-สี่พระยา เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน โดยเฉพาะในช่วงถนนสีลม ซึ่งเป็นแหล่งออฟฟิศบิวดิ้งชั้นนำหลากหลาย เป็นศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่กลางใจเมือง ในส่วนทำเลสามย่านก็ถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ของคนไทย ซึ่งคนในพื้นที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายในระดับสูง อยู่ใกล้ศูนย์สถานที่สำคัญทั้งสถานศึกษา ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชา ห้างสรรพสินค้า และสะดวกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ครบครัน
อันดับ 1 ย่านพญาไท-ปทุมวัน
พญาไท-ปทุมวัน เป็นทำเลฮอต ร้อนแรง ไม่แพ้ย่านไหนๆ ด้วยถนนสายนี้ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมการเดินทางรถไฟฟ้าสองสาย บีทีเอส-แอร์พอร์ตลิ้งก์ ที่มีคนหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านวันละเป็นหมื่นๆ ใกล้ศูนย์การค้า สถาบันกวดวิชาชื่อดัง อย่างตึกวรรณสรณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ ทำให้ย่านนี้เป็นทำเลทองที่ใครๆ ก็อยากจับจองทั้งนั้น
หากคุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดอยู่ ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาดู เชื่อว่าคุณจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ขอขอบคุณ sanook 
ขอบคุณภาพประกอบ : newconstructionmanhatton.com, buckheadhighrisecondos.com

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล
จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วประมาณ 50,000 ลิตร ในทะเล ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ถ่ายภาพการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ด้วยดาวเทียม COSMO-SkyMed-1 เมื่อเวลา 18.23 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว จากภาพแสดงให้เห็นถึงคราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีขนาดพื้นที่ประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร ห่างชายฝั่งทะเลประมาณ 1.6 กิโลเมตร
โดยคราบน้ำมันที่พบเป็นบริเวณกว้างจะอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเสม็ด (วงสีเขียว) และมีทิศทางเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง แต่มีลักษณะเป็นเพียงแผ่นฟิล์มบางๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะสลายตัวด้วยกระบวนการธรรมชาติเช่นแบคทีเรียและแสงอาทิตย์ต่อไป จากการใช้ข้อมูลภาพดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำของ GISTDA คาดว่าวันพรุ่งนี้ (30 กรกฎาคม 2556) ในช่วงเช้าฟิล์มน้ำมันเหล่านี้อาจจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่งในเขตอำเภอแกลง ประชาชน ผู้ประกอบการ ตลอดจนสถานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวจึงควรเตรียมการรับมือโดยงดเล่นน้ำทะเล งดการใช้น้ำทะเลเพื่อการเพาะเลี้ยงและขนย้ายสิ่งของที่อาจได้รับความเสียหายจากคราบน้ำมัน รวมทั้งให้ความร่วมมือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและขจัดคราบน้ำมัน
สำหรับพื้นที่ที่คราบน้ำมันยังมีความหนาแน่นจะเป็นหย่อมๆ ในอ่าวที่มีลักษณะปิดทางฝั่งตะวันตกของเกาะเสม็ด โดยเฉพาะอ่าวพร้าว (วงสีแดง) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการขจัดอยู่อย่างรีบด่วน
อนึ่งการใช้ดาวเทียมระบบเรดาร์ตรวจวัดคราบน้ำมันนั้นเป็นการวัดความราบเรียบของผิวหน้าทะเลอันเนื่องมาจากแรงตึงผิวที่ลดลงของน้ำทะเลเนื่องมาจากฟิล์มน้ำมัน ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงฟิล์มบางๆ ดาวเทียมก็สามารถตรวจวัดได้ ซึ่งฟิล์มน้ำมันบางๆ นั้นถึงแม้อาจจะไม่ทำให้เกิดอันตรายโดยเฉียบพลันเหมือคราบน้ำมันที่มีความหนามากๆ แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งจะเกิดการสะสมและแปรสภาพเป็นก้อนน้ำมันดิน (Tar Ball) บนหาดในระยะยาวต่อไป
ข้อมูลจาก http://www.gistda.or.th/

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน
กลัวกันนักหนากับปัญหาฟองสบู่อสังหาฯ รู้หรือไม่...ทำเลใจกลางเมืองกรุงทุกวันนี้เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์เปิดใหม่จนแทบจะนับไม่หมด 

ทำเลที่ว่าคือ "ซอยสุขุมวิท 39" เยื้องดิ เอ็ม โพเรียมห้างดังบนถนนสุขุมวิท โซนที่กำลังฮอตขึ้นหม้อของตลาดคอนโดมิเนียมระดับ "ลักเซอรี่" ไม่เพียงแต่อยู่กลางเมือง 

หากแต่เป็นซอยที่เชื่อมไปยังซอยสุขุมวิท 35, 49 และ 55 (ซอยทองหล่อ) ได้


ถ้านับมูลค่าขายและมูลค่าลงทุนโครงการในซอยนี้รวมกัน คงต้องตั้งฉายาว่า...ซอยหมื่นล้าน !

ประเด็นที่นำมาสู่การลงพื้นที่ซอยสุขุมวิท 39 มาจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีคอนโดฯใหม่ ราคาตารางเมตรละ 2 แสนอัพ ที่เปิดตัวใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ จากค่าย "แสนสิริ" และ "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์" แสดงว่าซอยนี้ต้องมีดี

ต้นซอย...ดงคอนโดฯแพง

"มิสเซอร์เวย์" เริ่มออกสตาร์ตหัวมุมถนนปากซอยสุขุมวิท 39 ที่มีบันไดขึ้นลงสถานีบีทีเอสเกือบจ่อปากซอย ใกล้ ๆ กันกำลังมีงานก่อสร้างศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม 2 แค่เดินเข้าไปในซอยไม่กี่ก้าว สังเกตเห็นที่ดินเปล่าล้อมรั้วลักษณะเหมือนจะทำคอนโดฯ

เช็กข้อมูลเจอว่าเป็นที่ดินค่าย "เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์" ซื้อจากเจ้าของที่มีบ้านอยู่บนที่ดินแปลงติดกัน ราคาตารางวาละประมาณ 1.5 ล้านบาท เนื้อที่รวมประมาณกว่า 3 ไร่ "เสี่ยเอ-สุริยน พูลวรลักษณ์"

ซีอีโอเมเจอร์ฯ กำลังวางแผนอาจจะขึ้นโครงการแบบมิกซ์ยูส (ผสมผสาน) ที่แน่ ๆ จะมีคอนโดฯระดับลักเซอรี่ คาดว่าสนนราคาขายต่อตารางเมตรไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท และอาจมีสำนักงาน โรงแรม และรีเทลผสมด้วย คาดว่าเฉพาะคอนโดฯ น่าจะมีมูลค่าโครงการสูงถึง 5 พันล้านบาท

ส่วนที่ดินแปลงติดกันเป็นของค่าย "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์" ที่เพิ่งเปิดตัวคอนโดฯ ลักเซอรี่ใหม่ล่าสุดในซอยนี้ แบรนด์ "แกรลอรี ฮูร์ เดอร์ 39" 88 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 26-100 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท 

ข้อมูลอัพเดตมีเศรษฐีใจถึงจองห้องเพนต์เฮาส์ 3 ชั้น (ทรีเพล็กซ์) ราคา 100 ล้านบาท ที่มีแค่ 2 ห้องไปเรียบร้อยไฮโซแล้ว
ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“
รัฐบาลเพื่อไทยปิ๊งไอเดียผุดเมืองใหม่แนวไฮสปีดเทรน 4 สาย 36 สถานี กรมโยธาฯรับลูกวางผังเมืองใหม่ล็อกการพัฒนา เล็งทุกสถานีผุดเมืองครบทุกจังหวัดรองรับ ระบุพิกัดสเป็กห่างจากตัวเมืองรัศมี 8-10 กม. เจรจา สนข.ขยับที่ตั้งสถานีใหม่ ด้าน สนข.ลั่นคงไม่ได้ทุกสถานี ชี้ได้แค่สถานีปลายทาง และสร้างบนพื้นที่เปิดใหม่ "พิจิตร-พิษณุโลก-นครสวรรค์-อยุธยา-ปากช่อง-โคราช-เพชรบุรี-หัวหิน"
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ได้หารือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ถึงแนวทางการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงใน 4 สายทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 2.กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้บูรณาการร่วมกัน

โยธาฯขอจุดพลุเมืองใหม่ทุกสถานี
โดยกรมโยธาฯต้องการดูจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงแต่ละสายเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะเพิ่มมูลค่าให้โครงการเพื่อให้คืนกลับมาเป็นรายได้จึงให้กรมโยธาฯดูการวางผังเมืองและพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและอาจจะมีเมืองใหม่เกิดขึ้นในแนวโครงการด้วย
กรมโยธาฯมีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ทุกสถานีและขอให้ขยับตำแหน่งสถานีห่างจากในเมืองออกไปอีกโดยกรมโยธาฯเสนอจะนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีจะช่วยลดการเวนคืนที่ดินได้เนื่องจากจะให้เจ้าของที่ดินมาร่วมพัฒนาตามที่ออกแบบไว้ในผังเมืองเหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้วโดยกรมโยธาฯจะกันพื้นที่ไว้6-10ตารางกิโลเมตรในรัศมีรอบสถานีเพื่อพัฒนาที่ดิน
"เป็นไปได้ยากจะมีเมืองใหม่ทุกสถานี การขยับสถานีต้องดูหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงโครงข่ายคมนาคม การเติบโตของเมือง คงจะทำได้เป็นบางสถานีที่เป็นจุดที่ตั้งใหม่"
ส่วนสถานีที่เป็นสถานีรถไฟเดิมพื้นที่แคบมีจำกัด ยกเว้นมีที่ราชพัสดุจะสามารถขอใช้ที่ดินได้ ซึ่ง สนข.ได้หารือร่วมกับกรมธนารักษ์ขอใช้ที่ดินสร้างสถานีบางแห่งแล้ว เช่น สถานีปากช่อง ประมาณ 500 ไร่ สร้างสถานี 150 ไร่ ที่เหลือกรมธนารักษ์ให้เอกชนมาพัฒนาสร้างรายได้ระยะยาว

สนข.เน้นแค่สถานีปลายทาง
"แนวคิดเมืองใหม่นี้ที่ปรึกษาศึกษาโครงการให้สนข.ใน3 สายทาง คือสายเหนือ อีสาน และใต้ ในเฟสแรกมีกำหนดเบื้องต้นเป็นสถานีปลายทางคือพิษณุโลก โคราช หัวหิน ส่วนสายไประยองอยู่ที่การรถไฟกำหนด เช่นที่หัวหินสถานีเดิมอาจจะคับแคบ จะขยับมาทางชะอำหรือขึ้นไปทางปราณบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ในอนาคต ส่วนสถานีระหว่างทางต้องดูศักยภาพก่อนว่าเหมาะหรือไม่"
นายจุฬากล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กรมโยธาฯจะให้ขยับตำแหน่งสถานีนครสวรรค์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปอีก 2 กิโลเมตร เนื่องจากในบริเวณนี้มีที่ดินของกรมธนารักษ์อยู่กว่า 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาในอนาคตได้ ทั้งเชิงพาณิชยกรรมและสร้างเมืองใหม่

พิจิตร-ปากช่อง-นครสวรรค์ติดโผ
แหล่งข่าวจาก สนข.เปิดเผยว่า กรมโยธาฯจะให้ย้ายตำแหน่งทุกสถานีใหม่ทั้งหมดไปนอกเมืองประมาณ 8-10 กิโลเมตร เนื่องจากจะสร้างเมืองใหม่รองรับทุกสถานีในแนวรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังไม่สรุป จะต้องหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุนในการพัฒนาอีก รวมถึงเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาด้วย จะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะถ้าทำตามแนวคิดของกรมโยธาฯจะต้องรื้อเส้นทางใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในหลักการของ สนข.ที่ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษานั้น มีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ให้พัฒนาควบคู่ไปกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว เบื้องต้นเป็นพื้นที่สถานีที่สร้างใหม่ เช่น สถานีพิจิตร ปากช่อง นครสวรรค์ เพชรบุรี เป็นต้น ขณะที่กรมโยธาฯได้ทำโมเดลตัวอย่างเมืองใหม่นั้นมีประมาณ 3-4 จังหวัด ขนาดพื้นที่เมืองประมาณ 2,000-5,000 ไร่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่อยุธยาจะมีให้เลือก 3-4 เมือง เช่น ภาชี สถานีอยุธยาเดิมที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

เล็งนำจัดรูปที่ดินมาใช้
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมไปเสนอแนวคิดให้ สนข.พิจารณาว่าการกำหนดสถานีนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองและลดปัญหาการจราจรนั้นควรจะอยู่ตรงไหนซึ่งกรมมองว่าควรจะขยับตำแหน่งสถานีออกจากตัวเมืองมาประมาณ10กิโลเมตรเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น แต่ยังไม่สรุปชัดเจน เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น
"เราจะดีไซน์เมืองให้ดูว่า เมืองใหม่ควรจะเป็นแบบไหน จะมีครบทุกอย่างเหมือนเป็นชุมชนหนึ่ง เช่น ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พร้อมกับเสนอนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินมาดำเนินการ จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่เสียประโยชน์ที่จะถูกรัฐเวนคืนที่ดิน แต่อยู่ที่นโยบายของรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่"

เปิดตำแหน่งทุกสถานี 4 สายทาง
สำหรับจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย เบื้องต้นมี 36 สถานี สายกทม.-เชียงใหม่ 669 กิโลเมตร มี 12 สถานี ได้แก่ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เฟสแรก "กทม.-พิษณุโลก" 382 กิโลเมตร มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบางซื่อ อยู่ชั้น 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีดอนเมือง อยู่สถานีรถไฟเดิม 3.สถานีอยุธยา มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมและที่สถานีบ้านม้าห่างจากสถานีเดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร 4.สถานีลพบุรี อยู่ที่เดิม แต่จะเจาะอุโมงค์ลอดใต้ดิน 5.สถานีนครสวรรค์ มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่สถานีรถไฟเดิมหรือที่สถานีปากน้ำโพ 6.สถานีพิจิตร จะสร้างใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปด้านขวา 1 กิโลเมตร และ 7.สถานีพิษณุโลก มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่กองบิน 46
สายกทม.-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เฟสแรก "กทม.-หัวหิน" 225 กิโลเมตร สร้างไปตามแนวรถไฟสายใต้เดิมจากบางซื่อ ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และปลายทางที่หัวหิน มี 4 สถานี ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และหัวหิน จะมีสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือสถานีเพชรบุรีจะเบี่ยงออกมาอยู่บนถนนเพชรเกษมใกล้สถานีขนส่งจังหวัด
ส่วน "หัวหิน-ปาดังเบซาร์" ยังไม่ได้ศึกษา แนวโน้มจะจอดสถานีรถไฟเดิม มี 7 สถานี เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และปาดังเบซาร์
สายกทม.-หนองคาย 615 กิโลเมตร จะขนานไปกับแนวรถไฟสายอีสาน ช่วง "กทม.-บ้านภาชี" จะใช้แนวเขตทางร่วมกับสายเหนือ สำหรับที่ตั้งสถานีในเฟสแรก "กทม.-นครราชสีมา" 250 กิโลเมตร มี 3 สถานี
1.สถานีสระบุรี มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่ถนนวงแหวนรอบนอกตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่ 2.สถานีปากช่อง จะสร้างสถานีใหม่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปทางตัวเมืองโคราช 5 กิโลเมตร เนื้อที่ 500 ไร่ และ 3.สถานีโคราช มี 2 ทางเลือก คือสถานีรถไฟเดิมและสถานีภูเขาลาด จะมีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่
ส่วนต่อขยาย "นครราชสีมา-หนองคาย" จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟเดิม มี 4 สถานี คือ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีขอนแก่น ใช้สถานีเดิม แต่จะขยายพื้นที่เพิ่มมายังบนสนามกอล์ฟของการรถไฟฯมีอยู่ 200 ไร่ 3.สถานีอุดรธานี จะสร้างที่สถานีเดิมพื้นที่ 200 ไร่ หรือหาที่สร้างใหม่นอกเมือง และ 4.สถานีหนองคาย อยู่ตรงสถานีเดิมบนพื้นที่ 200 ไร่
สำหรับสายกทม.-ระยอง 221 กิโลเมตร จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟสายตะวันออก วิ่งจากมักกะสันตรงไปจนถึงปลายทางที่ระยอง มี 6 สถานี อยู่ตำแหน่งสถานีรถไฟเดิม ได้แก่ มักกะสัน ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พัทยา และระยอง

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555
กรมธนารักษ์ เลื่อนการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ ออกไปอีก 6 เดือน จากกำหนดที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อบรรเทาภาวะความเดือดร้อน จากปัญหาวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ของประเทศ ที่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง 62 จังหวัด
กรมธนารักษ์ ประกาศเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ที่จะใช้ทำธุรกรรมที่ดิน ระหว่างปี 2555 – 2558 หลังที่กรมที่ดินทำหนังสือผ่านกระทรวงมหาดไทย มายังกรมธนารักษ์ ให้คงราคาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม โดยในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์นัดพิเศษ เห็นว่าวิกฤตน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างใน 62 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินออกไปออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่กรมธนารักษ์ที่เตรียมจะประกาศใช้ ในวันที่ 1 มกราคม 2555
ด้าน นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างต่างๆ นอกเหนือจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่กรมธนารักษ์ ระบุว่าการเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ จะทำให้กรมฯ ต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิ์ที่ดินประมาณ 6,000 ล้านบาท

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย
กทม.การันตี "กรุงเทพฯ" ไม่เป็นสุญญากาศ ดีเดย์ 15 พ.ค.นี้ ร่างผังเมืองรวมฉบับใหม่ประกาศใช้ชัวร์ หนุนนำเมืองหลวงเป็นกรีนซิตี้ ลดโลกร้อน แจกแหลกโบนัสพัฒนาพื้นที่ ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมืองเกาะแนวถนนวงแหวนรอบนอก-รถไฟฟ้าหลากสี จับตา 5 ทำเลเด่น "พระรามที่ 2-มีนบุรี-รามอินทรา-ร่มเกล้า-ตลิ่งชัน"
นายเกรียงพล พัฒนรัฐ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ยืนยันว่าร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 3) จะมีผลบังคับใช้ทัน 15 พฤษภาคมนี้แน่นอน ล่าสุดอยู่ระหว่างเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง จากนั้นเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายนนี้ และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามตามขั้นตอน
"ดูเงื่อนไขเวลาแล้วสามารถออกประกาศทัน 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้เกิดเร็วขึ้น เราทำงานคู่ขนานกันสำหรับขั้นตอนเสนอ ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าขั้นตอนจะเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน เพราะหากไม่รีบดำเนินการจะทำให้กรุงเทพฯไม่มีผังเมืองใช้ และเกิดภาวะสุญญากาศได้"
สำหรับภาพรวมผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ หน้าตาของสีผังเมืองจะไม่ต่างจากผังเมืองรวมฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้เมื่อปี 2549 มีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น บริเวณนอร์ธปาร์ค ปรับจากเดิมสีเขียว เป็นสีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) บริเวณใกล้ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นสีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) ให้เป็นพื้นที่สีส้ม เป็นต้น
นอกจากนี้ จะเพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดรับกับสภาพเมืองปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่ม มีการสร้างศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ และที่อยู่อาศัยมากขึ้น
"คอนเซ็ปต์ผังเมืองฉบับใหม่จะเน้นเรื่องภาวะโลกร้อนให้กรุงเทพฯ เป็นกรีนซิตี้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและประหยัดพลังงาน ให้พื้นที่ชั้นในเป็นเมืองที่คอมแพ็กต์ จะสร้างศูนย์ชุมชนชานเมืองหรือซับเซ็นเตอร์ในรัศมีใกล้ถนนวงแหวนรอบนอกทั้งตะวันตกและตะวันออกมารองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในให้กระจายตัวไปออกไปมากขึ้น รวมถึงให้เป็นผังเมืองรวมที่กำหนดแนวทางจะรับมือกับภัยพิบัติ หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554" นายเกรียงพลกล่าวและว่า
เพิ่มขนาดถนน-ระยะถอยร่น
สำหรับข้อแตกต่างร่างผังเมืองใหม่กับผังเมืองปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.เพิ่มแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค เช่น จะมีทั้งโครงการปรับปรุง-ขยายคลองระบายน้ำสายต่าง ๆ โครงการสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ โครงการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ เพื่อแสดงให้ชาวบ้านได้รู้ว่าตรงไหนควรจะสร้างที่อยู่อาศัยได้ จุดไหนจะเป็นทางไหลผ่านของน้ำ จะได้ไม่ไปสร้างสิ่งกีดขวางระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ที่ผ่านมา
2.เพิ่มการควบคุมกิจกรรมที่ขัดต่อสุขลักษณะ 5 กิจกรรม เช่น สนามแข่งรถ สนามแข่งม้า สนามยิงปืน

3.ยกเลิกการกำหนดร้อยละของกิจกรรมรอง

4.เปลี่ยนเกณฑ์จำแนกประเภทอาคาร จากเดิมใช้ตามกฎหมายความคุมอาคาร เช่น อาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ ในร่างใหม่จะจำแนกตามขนาดพื้นที่การประกอบกิจกรรม ได้แก่ ไม่เกิน 1,000-2,000-10,000 ตารางเมตร และเกินกว่า 10,000 ตารางเมตร
5.เปลี่ยนเงื่อนไขการสร้างอาคารที่อยู่ในเขตทางถนนสาธารณะ เพิ่มระยะการใช้ประโยชน์ที่ดินตามความกว้างถนนใหม่ ได้แก่ ถนนขนาดไม่น้อยกว่า 12 เมตร มีระยะถอยร่น 200 เมตร ถนน 16 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร และถนน 30 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร

6.เพิ่มข้อกำหนดให้มีพื้นที่น้ำซึมผ่านได้เพื่อปลูกต้นไม้ 50% ของอัตราส่วนพื้นที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวม (0SR)
แจกโบนัส 20% จูงใจเอกชน
7.เพิ่มมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เจ้าของที่ดิน ด้วยการให้โบนัสไม่เกิน 20% ในการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่สร้างอาคารใหม่ เป็นการเพิ่มนอกเหนือจากได้โบนัสในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

โดยมีเงื่อนไขว่า 

1.จะต้องจัดให้มีพื้นที่รับน้ำในแปลงที่ดินที่ขออนุญาต กักเก็บน้ำได้ไม่น้อยกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรต่อที่ดิน 50 ตารางเมตร จะได้โบนัสสร้างพื้นที่อาคารใหม่ได้ไม่เกิน 5% หากมากกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรได้โบนัสไม่เกิน 20% 

2.จัดให้มีอาคารประหยัดพลังงาน (กรีนบิลดิ้ง) ตามมาตรฐานมูลนิธิอาคารเขียวที่ไทยรองรับ แยกเป็นระดับที่ 1 (Certified) ได้โบนัสไม่เกิน 5% ระดับที่ 2 (Silver) ได้ไม่เกิน 10% ระดับที่ 3 (Gold) ไม่เกิน 15% และระดับที่ 4 (Platinum) ไม่เกิน 20%
3.จัดให้มีที่จอดรถยนต์โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน บีทีเอส แอร์พอร์ตลิงก์ สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เช่น สถานีศูนย์วัฒนธรรม สถานีอ่อนนุช สถานีลาดกระบัง สถานีหัวหมาก สถานีบางบำหรุ สถานีตลิ่งชัน สถานีอุดมสุข สถานีแบริ่ง สำหรับคนทั่วไปเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่จอดรถยนต์ของอาคารสาธารณะ มีโบนัสสร้างอาคารเพิ่มได้ไม่เกิน 20%
4.จัดให้มีพื้นที่สาธารณะ หรือสวนสาธารณะบนพื้นที่ดินประเภทสีแดง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) "ย.8-ย.10" พื้นที่สีแดง (พาณิชยกรรม) "พ.1-พ.5" เจ้าของที่ดินจะได้โบนัสเพิ่มไม่เกิน 20% 5.สร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่าท้องตลาดสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมภายในพื้นที่โครงการ
ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมือง
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับซับเซ็นเตอร์หรือศูนย์ชุมชนชานเมืองที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมฉบับใหม่ จะเป็น เมืองรองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในออกมายังพื้นที่แนววงแหวนรอบนอกและรถไฟฟ้าสายใหม่ที่จะพาดผ่าน เพื่อลดการเดินทางเข้าไปในเมือง
ทั้งนี้ มี 5 แห่งที่เป็นพื้นที่มีศักยภาพ เช่น ย่านตลิ่งชันบริเวณถนนฉิมพลี อยู่ในแนวรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ย่านมีนบุรีใกล้ตลาดมีนบุรี แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีส้มมาบรรจบกัน ย่านพระรามที่ 2 ใกล้กับถนนวงแหวนรอบนอก ย่านร่มเกล้าในแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู และย่านถนนรามอินทราใกล้จุดตัดถนนรัชดา-รามอินทรา แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู
นอกจากนี้ จะเพิ่มการขยายตัวของย่านพาณิชยกรรมรอง ส่งเสริมในบางพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ การค้า การบริการ และนันทนาการ เช่น ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ บริเวณนวมินทร์ อเวนิวที่มีการสร้างคอมมิวนิตี้มอลล์อยู่หลายแห่ง, บริเวณศูนย์การค้าซีดีซี (คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์) ตรงเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, แยกบางนาที่มีโครงการเมกะบางนาเข้าไปพัฒนารอไว้แล้ว เป็นต้น
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับผังแสดงโครงข่ายคมนาคมนั้น ในรายละเอียดจะมีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 12 สายทาง ตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และแนวเส้นทางถนน 140 สาย มีทั้งขยายถนนเดิมและแนวตัดถนนใหม่

เซ็นทรัลขึ้นศูนย์การค้าแห่งใหม่ 14 แห่งทั่วประเทศ

เซ็นทรัลขึ้นศูนย์การค้าแห่งใหม่ 14 แห่งทั่วประเทศ
กลุ่มเซ็นทรัลเตรียมสยายปีกปักธง 14 สาขาใหม่ครอบคลุมเต็มพื้นที่ เดินหน้าโมเดล 2 ผสานนำทัพ "เซ็นทรัลพัฒนา" เจาะหัวเมืองสำคัญ สมุย ระยอง บางใหญ่ พุทธมณฑล 

ด้าน "เซ็นทรัลรีเทล" รุกพัฒนาพื้นที่เอง ส่ง "โรบินสัน" เปิดตลาดหัวเมืองรอง สุรินทร์ สระบุรี ร้อยเอ็ด ปราจีนบุรี พร้อมสปีดยุทธศาสตร์ควบรวมกิจการหวังโตก้าวกระโดด เป้าหมายรายได้ทะลุ 2 แสนล้านบาท
ชัดเจนว่าระหว่างปี 2556-2557 ที่จะถึงนี้ เครือเซ็นทรัลธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของไทยจะใช้ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และบุคลากร ขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง จากปัจจุบันมีเครือข่ายสาขา กระจายในเมืองหลัก ๆ ทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว
รายงานข่าวจากเครือเซ็นทรัลระบุว่า ช่วงเวลา 2 ปีดังกล่าว การขยายตัวศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลจะเปิดเพิ่มอีก 14 สาขา โดยเป็นการลงทุนในนามของเซ็นทรัลพัฒนาและการหันมาลุยพัฒนาพื้นที่ด้วยตัวเองของเซ็นทรัลรีเทล

สำหรับการเติบโตของบริษัทในเครือ โดยที่ผ่านมาโรบินสันได้เริ่มนำร่องทดลองการขยายศูนย์การค้าในรูปแบบสแตนด์อะโลนด้วยตัวเองบ้างแล้ว ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรองและหัวเมืองขนาดย่อม ทำให้การขยายตัวไปได้รวดเร็วและไม่ต้องรอศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ที่มีเซ็นทรัลพัฒนาเปิดสาขาเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ตามแผนการลงทุนปี 2556-2557 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เตรียมขยายสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา 7 แห่ง คาดว่าต้องใช้เงินทุนหลายพันล้านบาท อยู่ในพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี หาดใหญ่ เชียงใหม่ (สาขาที่ 2) เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ในปี 2556
จากนั้นในปี 2557 จะเปิดศูนย์การค้าอีก 3 แห่ง คือ พุทธมณฑล ระยอง และบางใหญ่ นนทบุรี โดยสาขาพุทธมณฑลอยู่บนถนนบรมราชชนนี เยื้อง ๆ กับโรงพิมพ์วัฏจักรเดิม ขณะนี้เซ็นทรัลกำลังก่อสร้างไทวัสดุ ส่วนบางใหญ่จะอยู่ติดกับบิ๊กซี อย่างไรก็ตามแผนการสร้างศูนย์การค้าของ CPN จะยังไม่มีโครงการที่สวนลุมไนท์และไทเมล่อน รวมอยู่ด้วย
"การลงทุนสร้างศูนย์การค้าโดยเฉพาะพุทธมณฑลและบางใหญ่ ซึ่งเซ็นทรัลซื้อที่ดินเก็บไว้นานแล้วเพื่อรองรับกับการขยายตัวของชุมชนบริเวณรอบ ๆ กรุงเทพฯ ประกอบกับศูนย์การค้าใกล้เคียงอย่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาก"
ส่วนจังหวัดในระดับรอง ๆ หรือหัวเมืองขนาดย่อม กลุ่มเซ็นทรัลรีเทลจะเป็นคนพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าด้วยตัวเอง โดยมีโรบินสันเป็นหัวขบวนหลักในการพัฒนาพื้นที่และดึงบริษัทในเครือเข้าไปร่วมเปิด อาทิ เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ซูเปอร์สปอร์ต และออฟฟิศ ดีโป้ เป็นต้น 

โดยแผนการลงทุนในปี 2556-2557 ในนามบริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) จะเปิดในต่างจังหวัด 7 แห่ง แบ่งเป็นในปี 2556 เปิดที่กาญจนบุรี สกลนคร สุรินทร์ สระบุรี ส่วนปี 2557 จะมีปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด ควบคู่กับการขยายสาขาของ "โฮมเวิร์ก" ที่เน้นพัฒนาพื้นที่ในลักษณะของสแตนด์อะโลนไปพร้อม ๆ กัน ตามแผนการลงทุนในช่วง 2 ปีดังกล่าวนี้จะขยายอีก 4 สาขา ที่ขอนแก่น เชียงใหม่ (แอร์พอร์ตพลาซ่า) แจ้งวัฒนะ และถนนศรีนครินทร์
ก่อนหน้านี้ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจภายใน 5 ปีของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจะขยาย 5 สาขา ในกรุงเทพฯ 2 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา ที่จะเปิดบริการก่อนคือ เซ็นทรัลหาดใหญ่ ในเดือนตุลาคม 2556 และเชียงใหม่ สาขา 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ด้วยเงินลงทุนสาขาละ 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 25,000 ตร.ม.
เช่นเดียวกับการเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ได้เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าเซ็นในจีนแล้ว 4 สาขา และเตรียมขยายสาขาแรกห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในอาเซียน นำร่องอินโดนีเซียเป็นแห่งแรก
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตก้าวกระโดดด้วย "การควบรวมกิจการและการร่วมทุน" จะยังเป็นหัวใจสำคัญของการขยายธุรกิจต่อจากนี้ ไม่เพียงการซื้อกิจการลารีนาเซนเต้ ห้างหรูจากอิตาลี 1 หมื่นล้านบาท 

แล้วการเข้าถือหุ้นหลักในคอนวีเนียนสโตร์ "แฟมิลี่มาร์ท" หรือการเพิ่มทุนฮุบ "ออฟฟิศเมท" ในธุรกิจอุปกรณ์สำนักงานรวมถึงการยังมีที่ดินแปลงงามในมืออีกหลายแห่ง โดยเฉพาะไทเมล่อน และสวนลุมฯที่เตรียมขึ้นเป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ในอนาคตของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยเป้าหมายการผลักดันยอดขายให้ได้ 2 แสนล้านในเร็ววัน จากปีนี้ที่คาดว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะสามารถปิดยอดขายได้ 1.8 แสนล้านบาท


ขอบคุณ sanook

ขอบคุณภาพ central.co.th

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สยามสแควร์ครองแชมป์ที่ดินแพงสุดในไทย

สยามสแควร์ครองแชมป์ที่ดินแพงสุดในไทย
AREA เผยราคาที่ดินกลางเมืองย่านสยามสแควร์แพงสุดสุดในไทย คาดสิ้นปีนี้แตะตร.ว.ละ 1.7 ลบ. ชี้เป็นจุดเชื่อมต่อบีทีเอส-ย่านการค้า
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า ในพื้นที่บริเวณติดถนนพระรามที่ 1 รอบรถไฟฟ้าสยามสแควร์ ชิดลมและเพลินจิต ราคาที่ดินตามราคาตลาดที่พึงวิเคราะห์ได้ตามศักยภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินสูงสุด เป็นเงินตารางวาละ 1.5 ล้านบาท หรือ 600 ล้านบาทต่อไร่

และแนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาที่ดินใจกลางเมือง เช่น สยามสแควร์ ชิดลมและเพลิตจิต ยังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่คงไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงตารางวาละ 2 ล้านบาทในปี 56 นี้ แต่คงเป็นเพียงราว 1.7 ล้านบาท ณ สิ้นปีนี้ และคาดว่ายังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อมีโครงข่ายรถไฟฟ้าออกนอกเมือง เพราะยิ่งทำให้ประชาชนสามารถเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้น"นายโสภณ ระบุ
ทั้งนี้ จากปี 37 ราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวอยู่ที่ประมาณตารางวาละประมาณ 400,000 บาท และเพิ่มเป็น 430,000 บาทในปี 39 แต่พอถึงปี 40-41 ราคาที่ดินตกต่ำลงเหลือเพียงตารางวาละ 380,000 บาท หรือลดลง 5% จากนั้นราคากลับมาที่จุดสูงสุดอีกครั้งในปี 45 หรืออีก 6 ปีต่อมา อย่างไรก็ตามปี 55 นี้ มีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3 เท่าในระยะเวลาประมาณเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา คาดว่าในเดือน ธ.ค.56 ราคาน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา
อย่างไรก็ตาม คงต้องประเมินในรายละเอียดในเวลาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการที่ราคาที่ดินที่สยามสแควร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เพราะว่า มีรถไฟฟ้าบีทีเอส 2 สายมาบรรจบกัน ทำให้ศักยภาพของที่ดินดี การเดินทางสะดวก และโดยที่เป็นแหล่งค้าปลีกที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพมหานครหรือประเทศไทยโดยรวม จึงยิ่งทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และยิ่งรถไฟฟ้าขยายตัวออกไปนอกเมืองเท่าไหร่ ก็เท่ากับจะสามารถนำคนเข้ามายังใจกลางเมืองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และจะทำให้มูลค่าที่ดินใจกลางเมืองยิ่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ
จาก sanook

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง



ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“
รัฐบาลเพื่อไทยปิ๊งไอเดียผุดเมืองใหม่แนวไฮสปีดเทรน 4 สาย 36 สถานี กรมโยธาฯรับลูกวางผังเมืองใหม่ล็อกการพัฒนา เล็งทุกสถานีผุดเมืองครบทุกจังหวัดรองรับ ระบุพิกัดสเป็กห่างจากตัวเมืองรัศมี 8-10 กม. เจรจา สนข.ขยับที่ตั้งสถานีใหม่ ด้าน สนข.ลั่นคงไม่ได้ทุกสถานี ชี้ได้แค่สถานีปลายทาง และสร้างบนพื้นที่เปิดใหม่ "พิจิตร-พิษณุโลก-นครสวรรค์-อยุธยา-ปากช่อง-โคราช-เพชรบุรี-หัวหิน"
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ได้หารือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ถึงแนวทางการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงใน 4 สายทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 2.กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้บูรณาการร่วมกัน

โยธาฯขอจุดพลุเมืองใหม่ทุกสถานี
โดยกรมโยธาฯต้องการดูจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงแต่ละสายเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะเพิ่มมูลค่าให้โครงการเพื่อให้คืนกลับมาเป็นรายได้จึงให้กรมโยธาฯดูการวางผังเมืองและพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและอาจจะมีเมืองใหม่เกิดขึ้นในแนวโครงการด้วย
กรมโยธาฯมีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ทุกสถานีและขอให้ขยับตำแหน่งสถานีห่างจากในเมืองออกไปอีกโดยกรมโยธาฯเสนอจะนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีจะช่วยลดการเวนคืนที่ดินได้เนื่องจากจะให้เจ้าของที่ดินมาร่วมพัฒนาตามที่ออกแบบไว้ในผังเมืองเหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้วโดยกรมโยธาฯจะกันพื้นที่ไว้6-10ตารางกิโลเมตรในรัศมีรอบสถานีเพื่อพัฒนาที่ดิน
"เป็นไปได้ยากจะมีเมืองใหม่ทุกสถานี การขยับสถานีต้องดูหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงโครงข่ายคมนาคม การเติบโตของเมือง คงจะทำได้เป็นบางสถานีที่เป็นจุดที่ตั้งใหม่"
ส่วนสถานีที่เป็นสถานีรถไฟเดิมพื้นที่แคบมีจำกัด ยกเว้นมีที่ราชพัสดุจะสามารถขอใช้ที่ดินได้ ซึ่ง สนข.ได้หารือร่วมกับกรมธนารักษ์ขอใช้ที่ดินสร้างสถานีบางแห่งแล้ว เช่น สถานีปากช่อง ประมาณ 500 ไร่ สร้างสถานี 150 ไร่ ที่เหลือกรมธนารักษ์ให้เอกชนมาพัฒนาสร้างรายได้ระยะยาว

สนข.เน้นแค่สถานีปลายทาง
"แนวคิดเมืองใหม่นี้ที่ปรึกษาศึกษาโครงการให้สนข.ใน3 สายทาง คือสายเหนือ อีสาน และใต้ ในเฟสแรกมีกำหนดเบื้องต้นเป็นสถานีปลายทางคือพิษณุโลก โคราช หัวหิน ส่วนสายไประยองอยู่ที่การรถไฟกำหนด เช่นที่หัวหินสถานีเดิมอาจจะคับแคบ จะขยับมาทางชะอำหรือขึ้นไปทางปราณบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ในอนาคต ส่วนสถานีระหว่างทางต้องดูศักยภาพก่อนว่าเหมาะหรือไม่"
นายจุฬากล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กรมโยธาฯจะให้ขยับตำแหน่งสถานีนครสวรรค์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปอีก 2 กิโลเมตร เนื่องจากในบริเวณนี้มีที่ดินของกรมธนารักษ์อยู่กว่า 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาในอนาคตได้ ทั้งเชิงพาณิชยกรรมและสร้างเมืองใหม่

พิจิตร-ปากช่อง-นครสวรรค์ติดโผ
แหล่งข่าวจาก สนข.เปิดเผยว่า กรมโยธาฯจะให้ย้ายตำแหน่งทุกสถานีใหม่ทั้งหมดไปนอกเมืองประมาณ 8-10 กิโลเมตร เนื่องจากจะสร้างเมืองใหม่รองรับทุกสถานีในแนวรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังไม่สรุป จะต้องหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุนในการพัฒนาอีก รวมถึงเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาด้วย จะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะถ้าทำตามแนวคิดของกรมโยธาฯจะต้องรื้อเส้นทางใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในหลักการของ สนข.ที่ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษานั้น มีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ให้พัฒนาควบคู่ไปกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว เบื้องต้นเป็นพื้นที่สถานีที่สร้างใหม่ เช่น สถานีพิจิตร ปากช่อง นครสวรรค์ เพชรบุรี เป็นต้น ขณะที่กรมโยธาฯได้ทำโมเดลตัวอย่างเมืองใหม่นั้นมีประมาณ 3-4 จังหวัด ขนาดพื้นที่เมืองประมาณ 2,000-5,000 ไร่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่อยุธยาจะมีให้เลือก 3-4 เมือง เช่น ภาชี สถานีอยุธยาเดิมที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

เล็งนำจัดรูปที่ดินมาใช้
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมไปเสนอแนวคิดให้ สนข.พิจารณาว่าการกำหนดสถานีนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองและลดปัญหาการจราจรนั้นควรจะอยู่ตรงไหนซึ่งกรมมองว่าควรจะขยับตำแหน่งสถานีออกจากตัวเมืองมาประมาณ10กิโลเมตรเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น แต่ยังไม่สรุปชัดเจน เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น
"เราจะดีไซน์เมืองให้ดูว่า เมืองใหม่ควรจะเป็นแบบไหน จะมีครบทุกอย่างเหมือนเป็นชุมชนหนึ่ง เช่น ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พร้อมกับเสนอนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินมาดำเนินการ จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่เสียประโยชน์ที่จะถูกรัฐเวนคืนที่ดิน แต่อยู่ที่นโยบายของรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่"

เปิดตำแหน่งทุกสถานี 4 สายทาง
สำหรับจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย เบื้องต้นมี 36 สถานี สายกทม.-เชียงใหม่ 669 กิโลเมตร มี 12 สถานี ได้แก่ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เฟสแรก "กทม.-พิษณุโลก" 382 กิโลเมตร มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบางซื่อ อยู่ชั้น 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีดอนเมือง อยู่สถานีรถไฟเดิม 3.สถานีอยุธยา มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมและที่สถานีบ้านม้าห่างจากสถานีเดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร 4.สถานีลพบุรี อยู่ที่เดิม แต่จะเจาะอุโมงค์ลอดใต้ดิน 5.สถานีนครสวรรค์ มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่สถานีรถไฟเดิมหรือที่สถานีปากน้ำโพ 6.สถานีพิจิตร จะสร้างใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปด้านขวา 1 กิโลเมตร และ 7.สถานีพิษณุโลก มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่กองบิน 46
สายกทม.-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เฟสแรก "กทม.-หัวหิน" 225 กิโลเมตร สร้างไปตามแนวรถไฟสายใต้เดิมจากบางซื่อ ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และปลายทางที่หัวหิน มี 4 สถานี ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และหัวหิน จะมีสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือสถานีเพชรบุรีจะเบี่ยงออกมาอยู่บนถนนเพชรเกษมใกล้สถานีขนส่งจังหวัด
ส่วน "หัวหิน-ปาดังเบซาร์" ยังไม่ได้ศึกษา แนวโน้มจะจอดสถานีรถไฟเดิม มี 7 สถานี เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และปาดังเบซาร์
สายกทม.-หนองคาย 615 กิโลเมตร จะขนานไปกับแนวรถไฟสายอีสาน ช่วง "กทม.-บ้านภาชี" จะใช้แนวเขตทางร่วมกับสายเหนือ สำหรับที่ตั้งสถานีในเฟสแรก "กทม.-นครราชสีมา" 250 กิโลเมตร มี 3 สถานี
1.สถานีสระบุรี มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่ถนนวงแหวนรอบนอกตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่ 2.สถานีปากช่อง จะสร้างสถานีใหม่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปทางตัวเมืองโคราช 5 กิโลเมตร เนื้อที่ 500 ไร่ และ 3.สถานีโคราช มี 2 ทางเลือก คือสถานีรถไฟเดิมและสถานีภูเขาลาด จะมีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่
ส่วนต่อขยาย "นครราชสีมา-หนองคาย" จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟเดิม มี 4 สถานี คือ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีขอนแก่น ใช้สถานีเดิม แต่จะขยายพื้นที่เพิ่มมายังบนสนามกอล์ฟของการรถไฟฯมีอยู่ 200 ไร่ 3.สถานีอุดรธานี จะสร้างที่สถานีเดิมพื้นที่ 200 ไร่ หรือหาที่สร้างใหม่นอกเมือง และ 4.สถานีหนองคาย อยู่ตรงสถานีเดิมบนพื้นที่ 200 ไร่
สำหรับสายกทม.-ระยอง 221 กิโลเมตร จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟสายตะวันออก วิ่งจากมักกะสันตรงไปจนถึงปลายทางที่ระยอง มี 6 สถานี อยู่ตำแหน่งสถานีรถไฟเดิม ได้แก่ มักกะสัน ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พัทยา และระยอง

จาก sanook

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สามเหลี่ยมอาชญากรรม Crime Triangle


 ทฤษฎีสามเหลี่ยอาชญากรรม (Crime Triangle Theory)  ได้อธิบายถึงสาเหตุหรือองค์ประกอบของการเกิดอาชญากรรม ประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ของสามเหลี่ยม 3 ด้าน คือ
          1. ผู้กระทำผิด/คนร้าย (Offender) หมายถึง ผู้ที่มีความต้องการ (Desire) จะก่อเหตุหรือลงมือกระทำความผิด
          2. เหยื่อ (Victim)/เป้าหมาย (Target) หมายถึง บุคคล สถานที่ หรือวัตถุสิ่งของ ที่ผู้กระทำผิดหรือคนร้าย มุ่งหมายกระทำต่อ หรือเป็นเป้าหมายที่ต้องการ
          3. โอกาส (Opportunity) หมายถึง ช่วงเวลา (Time) และสถานที่ (Place) ที่เหมาะสมที่ผู้กระทำผิดหรือคนร้าย มีความสามารถจะลงมือกระทำความผิดหรือก่ออาชญากรรม 

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กรุงเทพมหานคร: เมืองโตเดี่ยวตลอดกาลของประเทศไทย

ความเป็นเอกนครหรือความเป็นเมืองโตเดี่ยวคืออะไร?
          ความเป็นเมืองเอกนคร (Primate City) หมายถึง การที่เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศมีจำนวนหรือขนาดของประชากรมากกว่าเมืองอันดับรองอย่างมาก ความเป็นเอกนครจึงได้รับการเรียกขานในอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองโตเดี่ยว ตามลักษณะความเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก มากจนมีขนาดใหญ่ห่างจากเมืองที่ใหญ่รองลงมาอย่างลิบลับ เป็นการเติบโตแต่เพียงเมืองเดียวล้ำหน้าเมืองอื่นๆ ดังนั้น ขนาดของความเป็นเอกนคร (Degree of Primacy) จึงวัดด้วยการคำนวณว่า เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศมีขนาดใหญ่กว่าเมืองใหญ่อันดับสองประมาณกี่เท่าตัว การวัดขนาดของความเป็นเอกนครเป็นวิธีการวัดความเป็นเมืองวิธีการหนึ่งในหลายๆ วิธี เราสามารถวัดความเป็นเมืองด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน เช่น วัดจากระดับความเป็นเมือง หรือวัดจากความเป็นเอกนครที่มีการคำนวณหาที่สลับซับซ้อนมากกว่า 


ความเป็นเมืองโตเดี่ยวหรือความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานคร
          กรุงเทพมหานครมักได้รับการกล่าวถึงความเป็นเมืองที่มีความเป็นเอก นครสูงสุดเมืองหนึ่งของโลก Sternstein (1986) เคยกล่าวถึงความเป็นเมืองเอกนครของกรุงเทพมหานครว่า เป็น “a paragon - the beau ideal - of a primate city” ซึ่งมีความหมายว่า ความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานครมีความเด่นมากที่สุดเมืองหนึ่ง เป็นความโดดเด่นที่เป็นแบบอย่างของความเป็นเอกนครเลยทีเดียว
ทำไมความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานครจึงมีความโดดเด่นมากที่สุด ถ้าเราศึกษาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน พบว่า ไม่มีเมืองใดในประเทศไทยเลยที่มีประชากรเกินล้านคน ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีประชากรล้านคนมาตั้งแต่ปี 2490 (ภัสสร ลิมานนท์ 2525) เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความโตเดี่ยวอย่างมากของกรุงเทพมหานคร สำหรับสถิติของความเป็นเมืองเอกนคร Goldstein (1971) พบว่า ในปี 2490 ประชากรของกรุงเทพฯ มีจำนวนประชากรมากกว่าประชากรของเมืองเชียงใหม่ที่มีประชากรมากเป็นอันดับ รองลงมา ถึง 21 เท่า ในปี 2503 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 27 เท่า ของเมืองเชียงใหม่เมืองใหญ่อันดับสอง และ ในปี 2510 เพิ่มเป็น 32 เท่า ของเมืองเชียงใหม่อีกเช่นกัน หรือในปีที่ค่อนข้างปัจจุบัน เช่น ในปี 2541 กรุงเทพมหานครที่มีประชากร 5.6 ล้านคน มีขนาดใหญ่กว่าเมืองนนทบุรีเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศที่มีประชากร 2 แสนกว่าคนถึง 28 เท่า (ปราโมทย์ ประสาทกุล 2543)
          สำหรับในปี 2549 จากข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 กรุงเทพมหานครมีประชากร 5,695,956 คน มีขนาดใหญ่กว่าเทศบาลนครนนทบุรีที่ยังคงครองความเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของ ประเทศ และมีประชากรอาศัยอยู่ 266,788 คน คิดเป็น 21 เท่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขในปี 2549 นี้จะต่ำกว่าตัวเลขในปี 2541 เหตุผลส่วนหนึ่งน่ามาจากมีการเปลี่ยนการให้คำจำกัดความของความเป็นเมืองที่ ให้มีการรวมเขตสุขาภิบาล เมื่อปี 2542 ทำให้ข้อมูลปี 2549 มีจำนวนประชากรเมืองในจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นตามคำจำกัดความใหม่ ในขณะที่ข้อมูลปี 2541 ยังใช้จำนวนประชากรตามคำจำกัดความเดิมที่ยังไม่รวมเขตสุขาภิบาลว่าเป็น ประชากรเมือง นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งน่ามาจากการที่กรุงเทพมหานครมีการเพิ่มของประชากรที่ช้าลง กว่าพื้นที่อื่นโดยเฉพาะถ้าเทียบกับจังหวัดในปริมณฑล ทำให้ความเป็นเมืองเอกนครของกรุงเทพมหานครลดลง ซึ่งแนวโน้มความเป็นเมืองโตเดี่ยวของกรุงเทพมหานครที่ลดลงนี้ อาจกล่าวได้ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของรัฐที่ต้องการลดการเติบโตของกรุงเทพมหานคร ด้วยการกระจายการพัฒนาไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะจังหวัดในปริมณฑล (Pakkasem 1988)
          ผลจากนโยบายกระจายการพัฒนาไปยังเขตจังหวัดปริมณฑล อันได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ทำให้แผนพัฒนาเมืองในระยะเวลาต่อมาได้รวมกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล เป็นพื้นที่เป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาด้านต่าง ๆ โดยเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า Bangkok Metropolitan Region หรือเรียกสั้นๆ ว่า BMR ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไปเมื่อมีการวิเคราะห์ถึงการเติบโตของกรุงเทพ มหานครในเชิงพื้นที่ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่า หากพิจารณาถึงความเป็นเมืองโตเดี่ยวโดยมีการรวมเขตพื้นที่เมืองของจังหวัด ปริมณฑลกับกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นที่เมืองที่ติดกัน ก็จะเห็นถึงความโตเดี่ยวของกรุงเทพมหานครส่วนที่เป็น BMR ที่สูงมาก เพราะถ้ารวมเขตพื้นที่ที่เป็นเมืองของจังหวัดปริมณฑลที่อยู่ติดกับกรุงเทพ มหานคร ที่มีประชากรประมาณ 1.2 ล้านคน (1,219,900 คน) กับประชากรของกรุงเทพมหานคร ทำให้กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล (BMR) มีจำนวนประชากรรวมกันมากถึง 6.9 ล้านคน ซึ่งมากกว่าเทศบาลนครเชียงใหม่ที่มีประชากร 0.15 ล้านคน (150,021 คน) และเป็นเมืองใหญ่อันดับสอง (เพราะเมืองใน 5 จังหวัดปริมณฑลถูกรวมกับกรุงเทพมหานครแล้ว) ถึง 46 เท่า หรือหากคิดจากจำนวนประชากรที่เป็นจริงที่มากกว่าตัวเลขตามทะเบียนราษฎรที่มี การตกหล่นจำนวนคนที่ไม่มีชื่อในทะเบียน ก็อาจจะถึง 50 เท่า (ดูบทที่ 1 ปราโมทย์ ประสาทกุล และคณะ. “ระเบิดคนเมือง” ในประเทศไทย)
          จากภาพทั้งหมด ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน กรุงเทพมหานครยังคงดำรงความเป็นเอกนคร เป็นเมืองใหญ่เมืองเดียวที่ทิ้งห่างเมืองอื่นๆ ดังที่ขวัญสรวง อติโพธิ (นิตยสารสารคดี 2533) เคยกล่าวไว้ว่า “ทิ้งห่างจนเกินงาม” มาตลอด และเมื่อมีการขยายอาณาเขตพื้นที่ไปยังปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง ทำให้ความโตเดี่ยวของกรุงเทพมหานครยังคงทิ้งห่างเมืองอื่นๆ ของประเทศไทยต่อไปอีกนาน 


วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนไทยเฮ! ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่า เริ่ม 1 ก.ค.นี้

คนไทยเฮ! ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่า เริ่ม 1 ก.ค.นี้
ญี่ปุ่น ประกาศยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทย สามารถพำนักได้ไม่เกิน 15 วัน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เริ่ม 1 ก.ค.นี้
กระทรวงการต่างประเทศ มีการเผยแพร่คำประกาศของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ที่ได้มีการประกาศยกเว้นวีซ่าการเข้าประเทศญี่ปุ่น ให้กับคนไทย ที่มีความประสงค์เข้ามาพำนักในประเทศญี่ปุ่น ระยะสั้น โดยทางรัฐบาลญี่ปุ่น ให้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. นี้ เป็นต้นไป ซึ่งคนไทย สามารถเข้ามาพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 15 วัน เพื่อเป็นการส่งเสริมความสำพันธ์ระหว่างประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น
โดยผู้ที่จะเข้าพำนักในประเทศญี่ปุ่นระยะสั้นนี้ จะต้องยื่นเอกสารในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งประกอบด้วย ตั๋วเครื่องบินขาออกจากประเทศญี่ปุ่น บัตรเครดิตหรือเงินสดที่ใช้เพื่อยืนยันการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างพำนัก ชื่อ ที่อยู่ และกำหนดการเดินทางระหว่างพำนัก
อย่างไรตาม ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าพำนักเกินระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำงาน หรือมีวัตถุประสงค์อื่นนั้น จะต้องขอยื่นวีซ่าตามปกติ ทั้งนี้หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้ที่แผนกกงสุล สถานเอกอัครทูตญี่ปุ่น โทร 02-2078503
cr:www.sanook.com

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กฎหมายอสังหาฯ

  มารู้จักเอกสารสิทธิเกี่ยวกับ "ที่ดิน" กันดีกว่า เอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน มีอยู่หลายประเภทที่ควรรู้ และที่สำคัญที่ดิน นับว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่า มีราคา และมีประโยชน์แก่มวลมนุษย์อย่างยิ่ง เช่น ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ในการเกษตรกรรม ใช้ในการอุตสาหกรรม ใช้เป็นหลักประกัน และอื่น ๆ นอกจากนี้ ที่ดินยังเป็นเครื่องแสดงฐานะความเป็นอยู่ ของแต่ละคนด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงล้วนพยายามใฝ่หา ให้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นของตนเอง แม้ปัจจุบันที่ดินจะมีราคาแพงสักเพียงใดก็ตาม ก็จะพยายามทำงานให้ได้มาเพื่อจะได้แลกซื้อที่ดิน เป็นของตนเองสักแปลง 
แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑)

          แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) คือใบแจ้งการครอบครองที่ดินเป็นหลักฐานว่าผู้ครอบครองเป็นผู้แจ้งว่า ตนครอบครองที่ดินแปลงใดอยู่ (แต่ปัจจุบันไม่มีการแจ้ง ส.ค.๑ อีกแล้ว) ส.ค.๑ ไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิที่ดิน เพราะไม่ใช่หลักฐานที่ทางราชการออกให้เพียงแต่เป็นการแจ้งการครอบครองที่ดิน ของราษฎรเท่านั้น ดังนั้นตามกฎหมาย ที่ดินที่มี ส.ค.๑ จึงทำการโอนกันได้เพียงแต่แสดงเจตนาสละการครอบครองและไม่ยึดถือพร้อมส่งมอบ ให้ผู้รับโอนไปเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นการโอนกันโดยชอบแล้ว ผู้มี ส.ค.๑ มีสิทธินำมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) ได้ 2 กรณี คือ
          กรณีที่ ๑ นำมาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั่ว ประเทศ กรณีนี้ทางราชการจะเป็นผู้ออกให้เป็นท้องที่ไป โดยจะมีการประกาศให้ทราบก่อนล่วงหน้า
          กรณีที่ ๒ นำมาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) เฉพาะราย คือกรณีที่เจ้าของที่ดินมีความประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ ก็ให้ไปยืนคำขอ ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินตั้งอยู่เฉพาะการออกโฉนดที่ดินนี้ จะออกได้ในพื้นที่ที่ได้สร้างระวางแผนที่สำหรับออกโฉนดที่ดินไว้แล้วเท่า นั้น

° ใบจอง (น.ส. ๒)
          ใบจอง คือหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อเป็นการแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำ ประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว ซึ่งใบจองนี้จะออกให้แก่ราษฎรที่ทางราชการได้จัดที่ดินให้ทำกินตามประมวล กฎหมายที่ดิน ซึ่งทางราชการจะมีประกาศเปิดโอกาสให้จับจองเป็นคราว ๆ ในแต่ละท้องที่และผู้ต้องการจับจองควรคอยฟังข่าวของทางราชการ
          ผู้มีใบจองจะต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนต้องทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับใบจองและจะต้องทำประโยชน์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๗๕ ของที่ดินที่จัดให้ ที่ดินที่มีใบจองนี้จะโอนให้แก่บุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก เมื่อทำประโยชน์ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ก็มีสิทธินำใบจองนั้นมาขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) หรือโฉนดที่ดินได้แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดินนั้นจะต้องตก อยู่ในบังคับห้ามโอนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
° หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข)
         •  หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข) หมายความว่าหนังสือรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดิน แล้ว
         •  น.ส. ๓ ออกให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่ไม่มีระวาง มีลักษณะเป็นแผนที่รูปลอย ไม่มีการกำหนดตำแหน่งที่ดินแน่นอน หรือออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ ซึ่งรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวล กฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออก)
         •  น.ส. ๓ ก. ออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่ดินในระวางรูปถ่ายทางอากาศ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออกให้)
         •  น.ส. ๓ ข. ออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ และรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมาย ที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้ว (เจ้าพนักงานที่ดิน เป็นผู้ออก)

° ใบไต่สวน (น.ส. ๕)
          ใบไต่สวน คือหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดินเป็นหนังสือแสดงให้ทราบว่าได้มี การสอบสวนสิทธิในที่ดินแล้ว สามารถจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ใบไต่สวนไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ แต่สามารถจดทะเบียนโอนให้กันได้
          ถ้าที่ดินมีใบไต่สวนและมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แสดงว่า ที่ดินนั้นนายอำเภอได้รับรองการทำประโยชน์แล้ว เมื่อจดทะเบียนโอนจะต้องจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก่อน แล้วจึงมาจดแจ้งหลังใบไต่สวน แต่ถ้าใบไต่สวนมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) หรือไม่มีหลักฐานที่ดินใด ๆ และเป็นที่ดินที่นายอำเภอยังไม่รับรองการทำประโยชน์ จะจดทะเบียนโอนกันไม่ได้ เว้นแต่เป็นการจดทะเบียนโอนมรดก

° โฉนดที่ดิน
          โฉนดที่ดิน คือหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งออกให้ตามประมวลกฎหมายที่ดินปัจจุบัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และตราจองที่ว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" ซึ่งออกให้ตามกฎหมายเก่า แต่ก็ถือว่ามีกรรมสิทธิ์เช่นกัน
ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ถือว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์เช่น มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดิน มีสิทธิจำหน่าย มีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

° ประโยชน์ของโฉนดที่ดิน
          • ทำให้ผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินยึดถือไว้เป็นหลักฐาน
          • ทำให้เกิดความมั่นคงในหลักกรรมสิทธิ์แก่ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน
          • ใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของตนทั้งต่อรัฐและในระหว่างเอกชนด้วยกัน
          • ทำให้รู้ตำแหน่งแหล่งที่ตั้ง ตลอดจนขอบเขตและจำนวนเนื้อที่ของที่ดินแต่ละแปลงได้ถูกต้อง
          • ทำให้สามารถป้องกันการบุกรุกขยายเขตครอบครองเข้าไปในที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ที่สงวนหวงห้าม ที่สาธารณประโยชน์ และที่ดินที่ทางราชการได้กันไว้เป็นเขตป่าไม้
          • ทำให้สามารถระงับการทะเลาะวิวาท การโต้แย้ง หรือแย่งสิทธิในที่ดินหรือการรุกล้ำแนวเขตที่ดินซึ่งกันและกัน
          • ทำให้ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตทางเศรษฐกิจ มีความมั่นคงและมีผลเป็นการลดต้นทุนการผลิตด้วย
          • ทำให้เกิดความรักและความห่วงแหนที่ดินของตน มีแรงจูงใจที่จะปรับปรุงและพัฒนาที่ดินของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
          • ใช้เป็นหลักฐานแสดงทุนทรัพย์หรือหลักประกันในการขอสินเชื่อ และกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้เป็นทุนในการเพิ่มกำลังการผลิตและรายได้เพื่อยก ฐานะความเป็นอยู่ให้สูงขึ้น
          • ใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล ฯลฯ
          • การตรวจสอบหลักฐานสำหรับที่ดิน สำหรับที่ดินที่เป็นโฉนดกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่ ประสงค์จะจำหน่าย จ่าย โอน เนื่องจากการโอนที่ดินที่มีโฉนดที่ดินไม่ต้องประกาศ เว้นแต่มรดก
          • การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์
          • การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เช่น การนำที่ดินไปซื้อขาย ยกให้ แลกเปลี่ยน จำนอง ขายฝาก ฯลฯ จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินตั้งอยู่
          • การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทีดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอที่ที่ดินตั้งอยู่ การทำนิติกรรมนั้น จึงจะมีผลตามกฎหมาย เว้นแต่ได้ยกเลิกอำนาจนายอำเภอเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จะต้องไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่

° คำเตือน
          เอกสารสำคัญทั้งหมดนี้แม้จะแสดงถึงการเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าบุคคล อื่นแล้วก็ตาม ถ้าหากท่านปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน กล่าวคือ ถ้าเป็นที่ดินที่โฉนดที่ดิน ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 10 ปี และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ๕ ปีติดต่อกัน ที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของรัฐตามกฎหมาย หรือถ้าหากปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองโดยสงบเปิดเผย โดยมีเจตนาเอาเป็นเจ้าของโดยท่านไม่เข้าขัดขวาง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเป็นเวลา ๑๐ ปีติดต่อกันบุคคลที่เข้าครอบครองนั้นก็จะมีสิทธิไปดำเนินคดีทางศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบ ครองได้ และที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) ใช้เวลาแย่งการครอบครองเพียง ๑ ปีเท่านั้น ท่านก็จะเสียสิทธิ ดังนั้นเมื่อที่ดินของท่านมีเอกสารสำคัญดังกล่าวอยู่แล้ว ก็ควรทำประโยชน์และดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินก็จะเป็นของท่าน และเป็นมรดกที่มีค่าให้แก่ทายาทของท่านต่อไป

ที่มา: กรมที่ดิน
cr :http://www.reic.or.th/RealEstateForPeople/Topic-Law11.asp

ประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ12

พอดีเจ้าของบล็อกได้ทำวิจัยเกี่ยวกับอาญากรรมเลยต้องศึกษาเรื่องนี้ไว้ ไม่เสียหาย

ลักษณะ 12
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 

หมวด 1
ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์
_______
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวม อยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์
(1) ในเวลากลางคืน
(2) ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือ ในที่หรือบริเวณที่มีอุบัติเหตุ เหตุทุกขภัยแก่รถไฟ หรือยานพาหนะอื่นที่ประชาชน โดยสาร หรือภัยพิบัติอื่นทำนองเดียวกันหรืออาศัยโอกาสที่มีเหตุเช่นว่านั้น หรือ อาศัยโอกาสที่ประชาชนกำลังตื่นกลัวภยันตรายใด ๆ 
(3) โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดย ผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ
(4) โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทาง คนเข้าหรือเข้าทางช่องทางซึ่งผู้เป็นใจเปิดไว้ให้
(5) โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่น เพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้
(6) โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน
(7) โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(8) ในเคหสถาน สถานที่ราชการหรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อให้บริการ สาธารณที่ตนได้เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือซ่อนตัวอยู่ในสถานที่นั้น ๆ
(9) ในสถานที่บูชาสาธารณ สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน ที่จอดรถหรือ เรือสาธารณ สาธารณสถานสำหรับขนถ่ายสินค้า หรือในยวดยานสาธารณ
(10) ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
(11) ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง
(12) ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม บรรดาที่เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์ สัตว์ หรือเครื่องมืออันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมหรือได้มาจากการกสิกรรมนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึง หนึ่งหมื่นบาท
ถ้า ความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดัง ที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราดังกล่าวแล้วตั้งแต่สองอนุมาตราขึ้นไป ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่น สี่พันบาท
ถ้าความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึง สองหมื่นบาท 
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรานี้ เป็นการกระทำโดยความ จำใจหรือความยากจนเหลือทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาเล็กน้อย ศาลจะลง โทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ก็ได้
[มาตรา 335 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525]
[มาตรา 335 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2530]
มาตรา 335 ทวิ ผู้ใดลักทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนา ถ้าทรัพย์นั้นเป็นที่สักการะบูชาของประชาชน หรือเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูป หรือวัตถุดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ได้กระทำในวัด สำนักสงฆ์ สถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนา โบราณสถานอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน สถานที่ราชการหรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
[มาตรา 335 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525]
มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท
ถ้าการ วิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาท ถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับ อันตรายสาหัส ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท 
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
มาตรา 336 ทวิ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 334 มาตรา 335 มาตรา 335 ทวิ หรือมาตรา 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือ แต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุ ระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์ นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา นั้น ๆ กึ่งหนึ่ง
[มาตรา 335 ทวิ เพิ่มความโดยประกาศคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514]

หมวด 2
ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์
_______
มาตรา 337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญ ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูก ขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความ ผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
(1) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่น ให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูก ข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ 
(2) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่ หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 338 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือ ผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจ ยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งสองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้า ความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ใน อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดแห่งมาตรา 335 หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับ ประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุ กตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และ ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้ อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท 
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับ อันตรายสาหัส ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึง สี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 339 ทวิ ถ้าการชิงทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตาม มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึง สิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์นั้นเป็นการ กระทำในสถานที่ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 335 ทวิ วรรคสองด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรก หรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับ อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึง ยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรก หรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับ อันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
[มาตรา 339 ทวิ เพิ่มความโดยประกาศคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514]
[มาตรา 339 ทวิ วรรคแรก แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525]
มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท 
ถ้า ในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่น สี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้อง ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้า การปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่น รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษประหารชีวิต
[มาตรา 340 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514]
มาตรา 340 ทวิ ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตาม มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึง ยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการปล้นทรัพย์นั้นเป็นการ กระทำในสถานที่ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 335 ทวิ วรรคสองด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่ หมื่นบาท
ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรก หรือวรรคสอง ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่ง คนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่น รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
ถ้า การปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองได้กระทำโดยแสดง ความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุ ระเบิดหรือกระทำทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุก ตลอดชีวิต 
ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
[มาตรา 340 ทวิ เพิ่มความโดยประกาศของคณะปฎิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514]
มาตรา 340 ตรี ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 339 มาตรา 339 ทวิ มาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ โดยแต่งเครื่องแบบ ทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมี หรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือ พาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง
[มาตรา 340 ตรี เพิ่มความโดยประกาศของคณะปฎิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514]


หมวด 3
ความผิดฐานฉ้อโกง
_______
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวง ดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูก หลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ 
(1) แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
(2) อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัย ความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำ ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิด ดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าว ในมาตรา 342 อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนี่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่า แรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่ บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับ ไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 345 ผู้ใดสั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม หรือค่า อยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกิน ห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
มาตรา 346 ผู้ใดเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคล ที่สาม ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญา และไม่สามารถเข้าใจตามควร ซึ่งสารสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 347 ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการ ประกันวินาศภัย แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 348 ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา 343 เป็นความผิดอันยอมความได้


หมวด 4
ความฐานโกงเจ้าหนี้
_______
มาตรา 349 ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน สี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 350 ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้ จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับ ไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
มาตรา 351 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้


หมวด 5
ความผิดฐานยักยอก
_______
มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอย ู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม โดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหาย ซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วย ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ใน ลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับ ไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 352 หรือ มาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพ หรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 355 ผู้ใดเก็บได้ซึ่งสังหาริมทรัพย์อันมีค่า อันซ่อนหรือ ฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วเบียดบังเอา ทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 356 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้


หมวด 6
ความผิดฐานรับของโจร
_______
มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิด ฐานรับของโจรนั้น ไ ด้กระทำเพื่อค้ากำไร หรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 (10) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของ โจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์อัน ได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
[ความในวรรคสามของมาตรา 357 เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512]

 


หมวด 7
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
_______
มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 359 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 358 ได้กระทำต่อ
(1) เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรือ อุตสาหกรรม
(2) ปศุสัตว์
(3) ยวดยานหรือสัตว์พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณหรือในการ ประกอบกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม หรือ
(4) พืชหรือพืชผลของกสิกร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 360 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 360 ทวิ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือ ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐาน อยู่ในสถานที่ตามมาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี 
หรือปรับไม่เกินสอง หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[มาตรา 360 ทวิ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512]
มาตรา 361 ความผิดตามมาตรา 358 และมาตรา 359 เป็น ความผิดอันยอมความได้

หมวด 8
ความผิดฐานบุกรุก
_______
มาตรา 362 ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการ ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการ ใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
มาตรา 363 ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน หรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์ นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 364 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ใน เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้นเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไป ได้ ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
มาตรา 365 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 362 มาตรา 363 หรือมาตรา 364 ได้กระทำ
(1) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(2) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
(3) ในเวลากลางคืน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 366 ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา 365 เป็นความผิดอันยอมความได้ 


ขอบคุณ http://blog.eduzones.com/froze/3371 สำหรับข้อมูล