วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ“เออีซี“ แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน

ราคาที่ดินหนองคายพุ่งรับ“เออีซี“ แห่ซื้อเก็งกำไรขายกลุ่มทุน
นายวิวัฒน์ชัย จิวาศักดิ์อภิมาศ รองประธานและเลขาธิการหอการค้าจังหวัดหนองคาย และผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า 

ราคาที่ดินของจังหวัดหนองคายตอนนี้ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูงมาก ราคาที่ซื้อขายกันจริงๆ ส่วนใหญ่จะสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้มาก และที่สำคัญมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรกัน ส่งผลให้ราคาซื้อขายจริงสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์และที่ดินริมถนนสายที่ตัดจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวนั้น ขณะนี้บูมกว่าทุกจุด อาคารพาณิชย์จากเดิมที่มีการซื้อขายกันที่ห้องละ 1.9-2 ล้านบาท สูงขึ้นเป็น 5-7 ล้านบาท 

ส่วนราคาที่ดินที่ซื้อ-ขายนั้นก็สูงกว่าราคาประเมินหลายเท่าตัว ล่าสุดที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินล่าสุดที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อไร่
ทางด้าน นายวีระชัยโชค มงคลภูมิรัตน์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายขณะนี้ถือว่าสูงมากจนเต็มเพดาน เฉพาะค่าเช่าก็ยังสูงเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีการเช่าที่ 30 ไร่ 30 ปี ค่าเช่าสูงถึง 60 ล้านบาท ส่วนราคาขายที่ดินในตัวเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจหลัก พื้นที่กว่า 4 ไร่ ขายกันที่กว่า 100 ล้าน ที่ริมแม่น้ำโขง 3 ไร่ ขาย 75 ล้านบาท 

โดยมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น ซีพี แสนศิริ รวมไปถึงกลุ่มทุนที่เกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัย ได้เข้ามาหาที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 คาดกันว่าจะมีนักลงทุนจากต่างชาติ
เข้ามาในจังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก มีการขออนุญาตสร้างรีสอร์ต โรงแรมขนาดใหญ่ 7 ชั้นริมถนนหนองคาย-โพนพิสัย รวมไปถึงโฮมโปรที่ได้ลงมือก่อสร้างไปแล้ว การลงทุนโครงการใหญ่ๆ ข้างต้นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ปรับราคาขึ้นตามไปด้วย ทำให้ขณะนี้คนหนองคายระดับรากหญ้าจนถึงระดับกลาง ยากที่จะมีที่ดิน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านและอาคารพาณิชย์ในเขตเมืองเป็นของตัวเอง
การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเริ่มคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2555 จนถึงขณะนี้การซื้อขายที่ดินและอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายคึกคักมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับปี 2554 แล้ว ราคาที่ดินและอาคารพาณิชย์ปรับขึ้นจากเดิม 2-3 เท่าตัว จากกระแสข่าวที่มีความเป็นไปได้สูงที่โครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการจะเข้ามา
ดำเนินการในเร็วๆ นี้ ประกอบกับจังหวัดหนองคายเป็นหน้าด่านในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมีการเปิดเออีซีในปี 2558 จึงทำให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ มีกลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินเป็นแปลงใหญ่ตั้งแต่ 50-300 ไร่ เพื่อขายให้กับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาตั้ง ยิ่งส่งผลให้ราคาที่ดินในจังหวัดหนองคายมีราคาสูงเกินจริงขึ้นไปอีก ที่ดินที่มีการซื้อขายกันขณะนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เจ้าของขายเอง แต่เป็นมือที่ 3-4 แล้ว
สำหรับราคาประเมินที่ดินที่สูงที่สุดนั้นจะอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย โดยเฉพาะที่ดินที่ติดกับถนนประจักษ์ที่เป็นถนนสายหลักภายในเขตเทศบาลราคาประเมินสูงมาก อยู่ระหว่าง 8-10 ล้านบาทต่อไร่ แต่การซื้อขายกันจริงๆ แล้วสูงกว่าราคาประเมินมาก โดยเฉพาะแปลงสวยๆ นั้นราคาซื้อขายกันจริงๆ จะสูงเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนที่ดินริมโขงภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคายนั้น ราคาประเมินอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านบาท แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงกว่านี้
จุดที่มีการซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินอีกจุดหนึ่ง คือที่ดินริมถนนสายจากตัวเมืองหนองคายไปด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งขณะนี้ถือเป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์มากกว่า 100 ห้อง ก็สามารถขายได้หมดภายในเวลาไม่นาน ราคาประเมินที่ดินริมถนนเส้นนี้อยู่ที่ประมาณ 1.8-2 ล้านบาทต่อไร่ แต่ซื้อขายกันจริงๆ สูงถึง 8-9 ล้านบาทต่อไร่เลยทีเดียว
ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม

10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม
ถ้าพูดถึงชีวิตเมืองจะไม่พูดถึงคอนโดคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่าคอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมสำหรับคนสมัยใหม่ ที่ชอบความสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์อิสระ 

จนทำให้ตลาดคอนโดเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าคอนโดทุกที่จะขายดีเสมอไปซะเมื่อไหร่ เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้คนเลือกซื้อคอนโดนั้น นอกราคาสมเหตุสมผล ดีไซน์ที่โดนใจแล้ว เรื่องทำเลที่ตั้ง และสภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ วันนี้เราจึงมี 10 อันดับคอนโด ทำเลยอดนิยม ในกรุงเทพฯ มาอัพเดท เผื่อว่าใครกำลังมองหาเลือกซื้อคอนโดอยู่จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น

อันดับ 10 ย่านบางนา-ศรีนครินทร์
ทำเลย่านถนนบางนา โดยเฉพาะช่วงถนนบางนา กม.3-4 มีศักยภาพที่สูงมากในอนาคตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากเป็นศูนย์พาณิชยกรรมหลากหลายทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอื่นๆ จุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่เชื่อมต่อพื้นที่สนามบินกับศูนย์กลางธุรกิจชั้นในของกรุงเทพฯ ปัจจัยเอื้อทางข้อกำหนดผังเมืองที่สามารถพัฒนาได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ปัจจัยทางด้านโครงข่ายคมนาคมที่เสริมศักยภาพในอนาคต จึงทำให้บางนา-ศรีนครินทร์เป็นหนึ่งในทำเลยอดฮิตที่คนนิยมเลือกซื้อหา แม้ว่าจะดูเหมือนไกล แต่ก็ใกล้ด้วยระบบการขนส่งมวลชนที่สามารถพาคุณเข้าสู่กลางใจเมืองได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย และบริเวณนั้นยังใกล้ศูนย์การค้า เช่น ซีคอนสแควร์ เซ็นทรัล เมคกะบางนา และสถานศึกษาชื่อดัง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อันดับ 9 ย่านลาดพร้าว-โชคชัย 4
จุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยเฉพาะซอยโชคชัย 4 ที่มีความเจริญมากที่สุดบนถนนลาดพร้าว บริเวณนี้มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ต้นถนนลาดพร้าว เริ่มด้วยเซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ โฮมโปร คาร์ฟูร์ บิ๊กซี ลาดพร้าว ฟู้ดแลนด์ ตะวันนา แมคโคร โลตัส รวมถึงเดอะมอลล์บางกะปิที่ตั้งอยู่ปลายถนนลาดพร้าว มีตลาดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งอาหารมากมาย เช่น ตลาดโชคชัย 4 และตลาดสะพาน 2 ที่ช่วยสร้างความคึกคักให้กับบริเวณนี้เป็นอย่างมาก มีแหล่งงานอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณรัชดา จตุจักร รวมถึงพระราม 9 สุขุมวิท และในย่าน CBD ทั้งนี้ เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกโดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานศึกษาชื่อดัง อาทิ โรงเรียนบดินทร์เดชา สิงห์ สิงหเสนีย์ และ โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นต้น รวมทั้งสถานพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลลาดพร้าว และโรงพยาบาลเวชธานี เป็นต้น
อันดับ 8 ย่านปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี
ทำเลปิ่นเกล้าถือเป็นประตูสู่เมืองทางทิศใต้และทิศตะวันตก ในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เปิดให้บริการได้ในปี 2559 โดยจะวิ่งอยู่เหนือถนนจรัญสนิทวงศ์ (หัวลำโพง-บางแค-บางซื่อ) ทำให้เพิ่มความสะดวกในการเดินทางในย่านนี้มากขึ้น การที่บริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับฝั่งพระนคร พื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งมีหน่วยงานราชการที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ ศาลหลักเมือง และสนามหลวง เป็นต้น อีกทั้งบริเวณปิ่นเกล้าเป็นย่านธุรกิจที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง หรือแม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี 1 โรงพยาบาลเจ้าพระยา รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่สำคัญเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล จึงถือได้ว่าเป็นอีกทำเลที่พักอาศัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อันดับ 7 พหลโยธิน-สะพานควาย
ทำเลบนถนนพหลโยธินชั้นใน ย่านอารีย์ - สะพานควาย ถือเป็นแหล่งรวมธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า ซอยอารีย์ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของกรมสรรพากรและอยู่ใกล้กับซอยราชครู ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของคนนามสกุลเก่าแก่ จึงถือเป็นซอยที่มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ ส่วนบริเวณปากซอยนั้นค่อนข้างคึกคัก เพราะมีโครงการลาวิลล่า อารีย์ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์ ประชิดทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์แบบห่างแค่ปลายจมูก ถือเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่คึกคักทั้งกลางวันและเย็น เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศจำนวนมาก อาทิ อาคารเอ็กซิมแบงก์, อาคารพหลโยธินเพลส ฯลฯ ถัดไปที่บริเวณแยกสะพานควายมุ่งหน้าข้ามสี่แยกไฟแดง บริเวณนี้ก็ยังคงคึกคักเพราะมีศูนย์การค้าบิ๊กซีตั้งอยู่ จากสะพานควายข้ามแยกมาจะเจอกับตลาดนัดจตุจักร นับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลน่าอยู่ที่ไม่ควรมองข้าม
อันดับ 6 ย่านอ่อนนุช-พระโขนง
ทำเล "อ่อนนุช-พระโขนง" ยังคงร้อนแรงด้วยข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่มีแนวรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเขตเองด้านในและเขตเมืองรอบนอก ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงอีกแหน่งหนึ่ง ย่านชุมชนที่คึกคักที่สุดของซอยอ่อนนุชคือบริเวณ "แยกอ่อนนุช" บริเวณหัวถนนฝั่งสุขุมวิทที่มีร้านค้าและตลาดสดตั้งอยู่ และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชประมาณ 100-200 เมตรเท่านั้น ในละแวกปากซอยอ่อนนุชและฝั่งตรงกันข้าม เมื่อเข้าไปภายในซอยอ่อนนุชจะพบว่า ฝั่งขวามือมีความคึกคักมาก เพราะมี "บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า" ตั้งอยู่ ร้านค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นแผงขายของกินหรือเปิดเป็นร้านขายอาหาร ร้านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ร้านกาแฟ ร้าน 7-ELEVEN บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน และมีรถสองแถว-มอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งให้บริการต่อเนื่อง เสน่ห์ของซอยอ่อนนุชคือเป็นซอยที่มีรถเข้า-ออกตลอดทั้งวัน เพราะเป็นซอยที่สามารถทะลุไปออกถนนศรีนครินทร์ (ช่วงซีคอนสแควร์) ที่บริเวณปากซอยสุภาพงษ์ได้ ขณะที่ซอยอ่อนนุช 17 39 และ 43 ก็ใช้เป็นเส้นทางไปทะลุออกถนนพัฒนาการได้ด้วย
อันดับ 5 ย่านรัชดา-ห้วยขวาง
เป็นทำเลที่มีการสัญจรไปมาได้สะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน และเป็นจุดเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ถนนอโศก ที่เป็นแหล่งสำนักงาน สถานศึกษา อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ทั้งเอสพลานาด เซ็นทรัลพระราม 9 รวมถึงอยู่ใกล้โรงพยาบาลชื่อดังหลายแห่ง ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ย่านรัชดา-ห้วยขวาง จะกลายเป็น New CBD หรือ New Central Business District แห่งใหม่ ในอนาคต
อันดับ 4 ย่านคลองเตย พระราม 4
ทำเลย่านพระราม 4 คลองเตยได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ทั้ง BTS, MRTและ แอร์ พอร์ตลิงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสถานศึกษาชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นแหล่งธุรกิจขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากแห่งหนึ่ง
อันดับ 3 ย่านตากสิน-กรุงธนบุรี
ย่านตากสิน-ธนบุรี ได้กลายเป็นทำเลทองที่ไม่เคยหยุดความร้อนแรง คอนโดมิเนียมมีให้เลือกมากมาย เพราะอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายสีลม เป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมมากที่สุด โดยเฉพาะย่านเจริญกรุง เจริญนคร สถานีธนบุรี ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับบน อยู่ติดถนนใหญ่ และด้วยแนวถนนที่ตัดตรงต่อเนื่องจากถนนสาทรโดยตรง ทำให้การเดินทางเข้าเขตศูนย์กลางธุรกิจของพื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงเป็นอีกทำเลหนึ่งที่น่าพิจารณา
อันดับ 2 ย่านสีลม-สี่พระยา
ย่านสีลม-สี่พระยา เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน โดยเฉพาะในช่วงถนนสีลม ซึ่งเป็นแหล่งออฟฟิศบิวดิ้งชั้นนำหลากหลาย เป็นศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่กลางใจเมือง ในส่วนทำเลสามย่านก็ถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ของคนไทย ซึ่งคนในพื้นที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายในระดับสูง อยู่ใกล้ศูนย์สถานที่สำคัญทั้งสถานศึกษา ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชา ห้างสรรพสินค้า และสะดวกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ครบครัน
อันดับ 1 ย่านพญาไท-ปทุมวัน
พญาไท-ปทุมวัน เป็นทำเลฮอต ร้อนแรง ไม่แพ้ย่านไหนๆ ด้วยถนนสายนี้ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมการเดินทางรถไฟฟ้าสองสาย บีทีเอส-แอร์พอร์ตลิ้งก์ ที่มีคนหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านวันละเป็นหมื่นๆ ใกล้ศูนย์การค้า สถาบันกวดวิชาชื่อดัง อย่างตึกวรรณสรณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ ทำให้ย่านนี้เป็นทำเลทองที่ใครๆ ก็อยากจับจองทั้งนั้น
หากคุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดอยู่ ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาดู เชื่อว่าคุณจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ขอขอบคุณ sanook 
ขอบคุณภาพประกอบ : newconstructionmanhatton.com, buckheadhighrisecondos.com

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล

ภาพจากดาวเทียมล่าสุด คราบน้ำมันรั่วเลยเกาะเสม็ดไปไกล
จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วประมาณ 50,000 ลิตร ในทะเล ห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ถ่ายภาพการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ด้วยดาวเทียม COSMO-SkyMed-1 เมื่อเวลา 18.23 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว จากภาพแสดงให้เห็นถึงคราบน้ำมันที่ผิวหน้าทะเล มีขนาดพื้นที่ประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร ห่างชายฝั่งทะเลประมาณ 1.6 กิโลเมตร
โดยคราบน้ำมันที่พบเป็นบริเวณกว้างจะอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเสม็ด (วงสีเขียว) และมีทิศทางเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าหาฝั่ง แต่มีลักษณะเป็นเพียงแผ่นฟิล์มบางๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะสลายตัวด้วยกระบวนการธรรมชาติเช่นแบคทีเรียและแสงอาทิตย์ต่อไป จากการใช้ข้อมูลภาพดาวเทียมและข้อมูลกระแสน้ำจากสถานีเรดาร์ตรวจวัดคลื่นและกระแสน้ำของ GISTDA คาดว่าวันพรุ่งนี้ (30 กรกฎาคม 2556) ในช่วงเช้าฟิล์มน้ำมันเหล่านี้อาจจะเริ่มเข้าสู่ชายฝั่งในเขตอำเภอแกลง ประชาชน ผู้ประกอบการ ตลอดจนสถานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวจึงควรเตรียมการรับมือโดยงดเล่นน้ำทะเล งดการใช้น้ำทะเลเพื่อการเพาะเลี้ยงและขนย้ายสิ่งของที่อาจได้รับความเสียหายจากคราบน้ำมัน รวมทั้งให้ความร่วมมือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและขจัดคราบน้ำมัน
สำหรับพื้นที่ที่คราบน้ำมันยังมีความหนาแน่นจะเป็นหย่อมๆ ในอ่าวที่มีลักษณะปิดทางฝั่งตะวันตกของเกาะเสม็ด โดยเฉพาะอ่าวพร้าว (วงสีแดง) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการขจัดอยู่อย่างรีบด่วน
อนึ่งการใช้ดาวเทียมระบบเรดาร์ตรวจวัดคราบน้ำมันนั้นเป็นการวัดความราบเรียบของผิวหน้าทะเลอันเนื่องมาจากแรงตึงผิวที่ลดลงของน้ำทะเลเนื่องมาจากฟิล์มน้ำมัน ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงฟิล์มบางๆ ดาวเทียมก็สามารถตรวจวัดได้ ซึ่งฟิล์มน้ำมันบางๆ นั้นถึงแม้อาจจะไม่ทำให้เกิดอันตรายโดยเฉียบพลันเหมือคราบน้ำมันที่มีความหนามากๆ แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งจะเกิดการสะสมและแปรสภาพเป็นก้อนน้ำมันดิน (Tar Ball) บนหาดในระยะยาวต่อไป
ข้อมูลจาก http://www.gistda.or.th/

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน

สำรวจซอยหมื่นล้าน “สุขุมวิท 39” ที่ดินวาละล้าน...คอนโดฯเมตรละแสน
กลัวกันนักหนากับปัญหาฟองสบู่อสังหาฯ รู้หรือไม่...ทำเลใจกลางเมืองกรุงทุกวันนี้เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์เปิดใหม่จนแทบจะนับไม่หมด 

ทำเลที่ว่าคือ "ซอยสุขุมวิท 39" เยื้องดิ เอ็ม โพเรียมห้างดังบนถนนสุขุมวิท โซนที่กำลังฮอตขึ้นหม้อของตลาดคอนโดมิเนียมระดับ "ลักเซอรี่" ไม่เพียงแต่อยู่กลางเมือง 

หากแต่เป็นซอยที่เชื่อมไปยังซอยสุขุมวิท 35, 49 และ 55 (ซอยทองหล่อ) ได้


ถ้านับมูลค่าขายและมูลค่าลงทุนโครงการในซอยนี้รวมกัน คงต้องตั้งฉายาว่า...ซอยหมื่นล้าน !

ประเด็นที่นำมาสู่การลงพื้นที่ซอยสุขุมวิท 39 มาจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีคอนโดฯใหม่ ราคาตารางเมตรละ 2 แสนอัพ ที่เปิดตัวใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ จากค่าย "แสนสิริ" และ "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์" แสดงว่าซอยนี้ต้องมีดี

ต้นซอย...ดงคอนโดฯแพง

"มิสเซอร์เวย์" เริ่มออกสตาร์ตหัวมุมถนนปากซอยสุขุมวิท 39 ที่มีบันไดขึ้นลงสถานีบีทีเอสเกือบจ่อปากซอย ใกล้ ๆ กันกำลังมีงานก่อสร้างศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม 2 แค่เดินเข้าไปในซอยไม่กี่ก้าว สังเกตเห็นที่ดินเปล่าล้อมรั้วลักษณะเหมือนจะทำคอนโดฯ

เช็กข้อมูลเจอว่าเป็นที่ดินค่าย "เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์" ซื้อจากเจ้าของที่มีบ้านอยู่บนที่ดินแปลงติดกัน ราคาตารางวาละประมาณ 1.5 ล้านบาท เนื้อที่รวมประมาณกว่า 3 ไร่ "เสี่ยเอ-สุริยน พูลวรลักษณ์"

ซีอีโอเมเจอร์ฯ กำลังวางแผนอาจจะขึ้นโครงการแบบมิกซ์ยูส (ผสมผสาน) ที่แน่ ๆ จะมีคอนโดฯระดับลักเซอรี่ คาดว่าสนนราคาขายต่อตารางเมตรไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท และอาจมีสำนักงาน โรงแรม และรีเทลผสมด้วย คาดว่าเฉพาะคอนโดฯ น่าจะมีมูลค่าโครงการสูงถึง 5 พันล้านบาท

ส่วนที่ดินแปลงติดกันเป็นของค่าย "เอพี-เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์" ที่เพิ่งเปิดตัวคอนโดฯ ลักเซอรี่ใหม่ล่าสุดในซอยนี้ แบรนด์ "แกรลอรี ฮูร์ เดอร์ 39" 88 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 26-100 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท 

ข้อมูลอัพเดตมีเศรษฐีใจถึงจองห้องเพนต์เฮาส์ 3 ชั้น (ทรีเพล็กซ์) ราคา 100 ล้านบาท ที่มีแค่ 2 ห้องไปเรียบร้อยไฮโซแล้ว
ขอขอบคุณ sanook

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“

ผุดเมืองใหม่ไฮสปีดเทรน10ตร.กม.รอบสถานี จุดพลุ“อยุธยา-พิจิตร-เพชรบุรี-ปากช่อง“
รัฐบาลเพื่อไทยปิ๊งไอเดียผุดเมืองใหม่แนวไฮสปีดเทรน 4 สาย 36 สถานี กรมโยธาฯรับลูกวางผังเมืองใหม่ล็อกการพัฒนา เล็งทุกสถานีผุดเมืองครบทุกจังหวัดรองรับ ระบุพิกัดสเป็กห่างจากตัวเมืองรัศมี 8-10 กม. เจรจา สนข.ขยับที่ตั้งสถานีใหม่ ด้าน สนข.ลั่นคงไม่ได้ทุกสถานี ชี้ได้แค่สถานีปลายทาง และสร้างบนพื้นที่เปิดใหม่ "พิจิตร-พิษณุโลก-นครสวรรค์-อยุธยา-ปากช่อง-โคราช-เพชรบุรี-หัวหิน"
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ได้หารือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ถึงแนวทางการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงใน 4 สายทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 2.กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ 4.กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้บูรณาการร่วมกัน

โยธาฯขอจุดพลุเมืองใหม่ทุกสถานี
โดยกรมโยธาฯต้องการดูจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงแต่ละสายเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะเพิ่มมูลค่าให้โครงการเพื่อให้คืนกลับมาเป็นรายได้จึงให้กรมโยธาฯดูการวางผังเมืองและพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและอาจจะมีเมืองใหม่เกิดขึ้นในแนวโครงการด้วย
กรมโยธาฯมีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ทุกสถานีและขอให้ขยับตำแหน่งสถานีห่างจากในเมืองออกไปอีกโดยกรมโยธาฯเสนอจะนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีจะช่วยลดการเวนคืนที่ดินได้เนื่องจากจะให้เจ้าของที่ดินมาร่วมพัฒนาตามที่ออกแบบไว้ในผังเมืองเหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้วโดยกรมโยธาฯจะกันพื้นที่ไว้6-10ตารางกิโลเมตรในรัศมีรอบสถานีเพื่อพัฒนาที่ดิน
"เป็นไปได้ยากจะมีเมืองใหม่ทุกสถานี การขยับสถานีต้องดูหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงโครงข่ายคมนาคม การเติบโตของเมือง คงจะทำได้เป็นบางสถานีที่เป็นจุดที่ตั้งใหม่"
ส่วนสถานีที่เป็นสถานีรถไฟเดิมพื้นที่แคบมีจำกัด ยกเว้นมีที่ราชพัสดุจะสามารถขอใช้ที่ดินได้ ซึ่ง สนข.ได้หารือร่วมกับกรมธนารักษ์ขอใช้ที่ดินสร้างสถานีบางแห่งแล้ว เช่น สถานีปากช่อง ประมาณ 500 ไร่ สร้างสถานี 150 ไร่ ที่เหลือกรมธนารักษ์ให้เอกชนมาพัฒนาสร้างรายได้ระยะยาว

สนข.เน้นแค่สถานีปลายทาง
"แนวคิดเมืองใหม่นี้ที่ปรึกษาศึกษาโครงการให้สนข.ใน3 สายทาง คือสายเหนือ อีสาน และใต้ ในเฟสแรกมีกำหนดเบื้องต้นเป็นสถานีปลายทางคือพิษณุโลก โคราช หัวหิน ส่วนสายไประยองอยู่ที่การรถไฟกำหนด เช่นที่หัวหินสถานีเดิมอาจจะคับแคบ จะขยับมาทางชะอำหรือขึ้นไปทางปราณบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ในอนาคต ส่วนสถานีระหว่างทางต้องดูศักยภาพก่อนว่าเหมาะหรือไม่"
นายจุฬากล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กรมโยธาฯจะให้ขยับตำแหน่งสถานีนครสวรรค์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปอีก 2 กิโลเมตร เนื่องจากในบริเวณนี้มีที่ดินของกรมธนารักษ์อยู่กว่า 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาในอนาคตได้ ทั้งเชิงพาณิชยกรรมและสร้างเมืองใหม่

พิจิตร-ปากช่อง-นครสวรรค์ติดโผ
แหล่งข่าวจาก สนข.เปิดเผยว่า กรมโยธาฯจะให้ย้ายตำแหน่งทุกสถานีใหม่ทั้งหมดไปนอกเมืองประมาณ 8-10 กิโลเมตร เนื่องจากจะสร้างเมืองใหม่รองรับทุกสถานีในแนวรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังไม่สรุป จะต้องหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุนในการพัฒนาอีก รวมถึงเสนอให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาด้วย จะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะถ้าทำตามแนวคิดของกรมโยธาฯจะต้องรื้อเส้นทางใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในหลักการของ สนข.ที่ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษานั้น มีแนวคิดจะสร้างเมืองใหม่ให้พัฒนาควบคู่ไปกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว เบื้องต้นเป็นพื้นที่สถานีที่สร้างใหม่ เช่น สถานีพิจิตร ปากช่อง นครสวรรค์ เพชรบุรี เป็นต้น ขณะที่กรมโยธาฯได้ทำโมเดลตัวอย่างเมืองใหม่นั้นมีประมาณ 3-4 จังหวัด ขนาดพื้นที่เมืองประมาณ 2,000-5,000 ไร่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่อยุธยาจะมีให้เลือก 3-4 เมือง เช่น ภาชี สถานีอยุธยาเดิมที่อยู่ในเมือง เป็นต้น

เล็งนำจัดรูปที่ดินมาใช้
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า กรมไปเสนอแนวคิดให้ สนข.พิจารณาว่าการกำหนดสถานีนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองและลดปัญหาการจราจรนั้นควรจะอยู่ตรงไหนซึ่งกรมมองว่าควรจะขยับตำแหน่งสถานีออกจากตัวเมืองมาประมาณ10กิโลเมตรเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น แต่ยังไม่สรุปชัดเจน เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น
"เราจะดีไซน์เมืองให้ดูว่า เมืองใหม่ควรจะเป็นแบบไหน จะมีครบทุกอย่างเหมือนเป็นชุมชนหนึ่ง เช่น ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พร้อมกับเสนอนำรูปแบบการจัดรูปที่ดินมาดำเนินการ จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่เสียประโยชน์ที่จะถูกรัฐเวนคืนที่ดิน แต่อยู่ที่นโยบายของรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่"

เปิดตำแหน่งทุกสถานี 4 สายทาง
สำหรับจุดที่ตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย เบื้องต้นมี 36 สถานี สายกทม.-เชียงใหม่ 669 กิโลเมตร มี 12 สถานี ได้แก่ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เฟสแรก "กทม.-พิษณุโลก" 382 กิโลเมตร มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบางซื่อ อยู่ชั้น 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีดอนเมือง อยู่สถานีรถไฟเดิม 3.สถานีอยุธยา มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมและที่สถานีบ้านม้าห่างจากสถานีเดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร 4.สถานีลพบุรี อยู่ที่เดิม แต่จะเจาะอุโมงค์ลอดใต้ดิน 5.สถานีนครสวรรค์ มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่สถานีรถไฟเดิมหรือที่สถานีปากน้ำโพ 6.สถานีพิจิตร จะสร้างใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปด้านขวา 1 กิโลเมตร และ 7.สถานีพิษณุโลก มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่กองบิน 46
สายกทม.-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เฟสแรก "กทม.-หัวหิน" 225 กิโลเมตร สร้างไปตามแนวรถไฟสายใต้เดิมจากบางซื่อ ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และปลายทางที่หัวหิน มี 4 สถานี ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และหัวหิน จะมีสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือสถานีเพชรบุรีจะเบี่ยงออกมาอยู่บนถนนเพชรเกษมใกล้สถานีขนส่งจังหวัด
ส่วน "หัวหิน-ปาดังเบซาร์" ยังไม่ได้ศึกษา แนวโน้มจะจอดสถานีรถไฟเดิม มี 7 สถานี เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และปาดังเบซาร์
สายกทม.-หนองคาย 615 กิโลเมตร จะขนานไปกับแนวรถไฟสายอีสาน ช่วง "กทม.-บ้านภาชี" จะใช้แนวเขตทางร่วมกับสายเหนือ สำหรับที่ตั้งสถานีในเฟสแรก "กทม.-นครราชสีมา" 250 กิโลเมตร มี 3 สถานี
1.สถานีสระบุรี มี 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิมหรือสร้างใหม่ที่ถนนวงแหวนรอบนอกตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่ 2.สถานีปากช่อง จะสร้างสถานีใหม่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ห่างจากสถานีรถไฟเดิมไปทางตัวเมืองโคราช 5 กิโลเมตร เนื้อที่ 500 ไร่ และ 3.สถานีโคราช มี 2 ทางเลือก คือสถานีรถไฟเดิมและสถานีภูเขาลาด จะมีเวนคืนที่ดินเพิ่ม 150 ไร่
ส่วนต่อขยาย "นครราชสีมา-หนองคาย" จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟเดิม มี 4 สถานี คือ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีขอนแก่น ใช้สถานีเดิม แต่จะขยายพื้นที่เพิ่มมายังบนสนามกอล์ฟของการรถไฟฯมีอยู่ 200 ไร่ 3.สถานีอุดรธานี จะสร้างที่สถานีเดิมพื้นที่ 200 ไร่ หรือหาที่สร้างใหม่นอกเมือง และ 4.สถานีหนองคาย อยู่ตรงสถานีเดิมบนพื้นที่ 200 ไร่
สำหรับสายกทม.-ระยอง 221 กิโลเมตร จะสร้างขนานไปกับแนวรถไฟสายตะวันออก วิ่งจากมักกะสันตรงไปจนถึงปลายทางที่ระยอง มี 6 สถานี อยู่ตำแหน่งสถานีรถไฟเดิม ได้แก่ มักกะสัน ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พัทยา และระยอง

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555

กรมธนารักษ์ เลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดิน 2555
กรมธนารักษ์ เลื่อนการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ ออกไปอีก 6 เดือน จากกำหนดที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อบรรเทาภาวะความเดือดร้อน จากปัญหาวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ของประเทศ ที่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง 62 จังหวัด
กรมธนารักษ์ ประกาศเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ที่จะใช้ทำธุรกรรมที่ดิน ระหว่างปี 2555 – 2558 หลังที่กรมที่ดินทำหนังสือผ่านกระทรวงมหาดไทย มายังกรมธนารักษ์ ให้คงราคาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม โดยในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์นัดพิเศษ เห็นว่าวิกฤตน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างใน 62 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินออกไปออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่กรมธนารักษ์ที่เตรียมจะประกาศใช้ ในวันที่ 1 มกราคม 2555
ด้าน นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างต่างๆ นอกเหนือจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่กรมธนารักษ์ ระบุว่าการเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ จะทำให้กรมฯ ต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิ์ที่ดินประมาณ 6,000 ล้านบาท

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย

ร่างผังเมืองกทม.ใหม่ บูม 5 ทำเล-ตัดถนน 140 สาย
กทม.การันตี "กรุงเทพฯ" ไม่เป็นสุญญากาศ ดีเดย์ 15 พ.ค.นี้ ร่างผังเมืองรวมฉบับใหม่ประกาศใช้ชัวร์ หนุนนำเมืองหลวงเป็นกรีนซิตี้ ลดโลกร้อน แจกแหลกโบนัสพัฒนาพื้นที่ ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมืองเกาะแนวถนนวงแหวนรอบนอก-รถไฟฟ้าหลากสี จับตา 5 ทำเลเด่น "พระรามที่ 2-มีนบุรี-รามอินทรา-ร่มเกล้า-ตลิ่งชัน"
นายเกรียงพล พัฒนรัฐ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ยืนยันว่าร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 3) จะมีผลบังคับใช้ทัน 15 พฤษภาคมนี้แน่นอน ล่าสุดอยู่ระหว่างเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง จากนั้นเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายนนี้ และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามตามขั้นตอน
"ดูเงื่อนไขเวลาแล้วสามารถออกประกาศทัน 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้เกิดเร็วขึ้น เราทำงานคู่ขนานกันสำหรับขั้นตอนเสนอ ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าขั้นตอนจะเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน เพราะหากไม่รีบดำเนินการจะทำให้กรุงเทพฯไม่มีผังเมืองใช้ และเกิดภาวะสุญญากาศได้"
สำหรับภาพรวมผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ หน้าตาของสีผังเมืองจะไม่ต่างจากผังเมืองรวมฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้เมื่อปี 2549 มีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น บริเวณนอร์ธปาร์ค ปรับจากเดิมสีเขียว เป็นสีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) บริเวณใกล้ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นสีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) ให้เป็นพื้นที่สีส้ม เป็นต้น
นอกจากนี้ จะเพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดรับกับสภาพเมืองปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่ม มีการสร้างศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ และที่อยู่อาศัยมากขึ้น
"คอนเซ็ปต์ผังเมืองฉบับใหม่จะเน้นเรื่องภาวะโลกร้อนให้กรุงเทพฯ เป็นกรีนซิตี้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและประหยัดพลังงาน ให้พื้นที่ชั้นในเป็นเมืองที่คอมแพ็กต์ จะสร้างศูนย์ชุมชนชานเมืองหรือซับเซ็นเตอร์ในรัศมีใกล้ถนนวงแหวนรอบนอกทั้งตะวันตกและตะวันออกมารองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในให้กระจายตัวไปออกไปมากขึ้น รวมถึงให้เป็นผังเมืองรวมที่กำหนดแนวทางจะรับมือกับภัยพิบัติ หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554" นายเกรียงพลกล่าวและว่า
เพิ่มขนาดถนน-ระยะถอยร่น
สำหรับข้อแตกต่างร่างผังเมืองใหม่กับผังเมืองปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.เพิ่มแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค เช่น จะมีทั้งโครงการปรับปรุง-ขยายคลองระบายน้ำสายต่าง ๆ โครงการสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ โครงการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ เพื่อแสดงให้ชาวบ้านได้รู้ว่าตรงไหนควรจะสร้างที่อยู่อาศัยได้ จุดไหนจะเป็นทางไหลผ่านของน้ำ จะได้ไม่ไปสร้างสิ่งกีดขวางระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ที่ผ่านมา
2.เพิ่มการควบคุมกิจกรรมที่ขัดต่อสุขลักษณะ 5 กิจกรรม เช่น สนามแข่งรถ สนามแข่งม้า สนามยิงปืน

3.ยกเลิกการกำหนดร้อยละของกิจกรรมรอง

4.เปลี่ยนเกณฑ์จำแนกประเภทอาคาร จากเดิมใช้ตามกฎหมายความคุมอาคาร เช่น อาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ ในร่างใหม่จะจำแนกตามขนาดพื้นที่การประกอบกิจกรรม ได้แก่ ไม่เกิน 1,000-2,000-10,000 ตารางเมตร และเกินกว่า 10,000 ตารางเมตร
5.เปลี่ยนเงื่อนไขการสร้างอาคารที่อยู่ในเขตทางถนนสาธารณะ เพิ่มระยะการใช้ประโยชน์ที่ดินตามความกว้างถนนใหม่ ได้แก่ ถนนขนาดไม่น้อยกว่า 12 เมตร มีระยะถอยร่น 200 เมตร ถนน 16 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร และถนน 30 เมตร ระยะถอยร่น 300 เมตร

6.เพิ่มข้อกำหนดให้มีพื้นที่น้ำซึมผ่านได้เพื่อปลูกต้นไม้ 50% ของอัตราส่วนพื้นที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวม (0SR)
แจกโบนัส 20% จูงใจเอกชน
7.เพิ่มมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เจ้าของที่ดิน ด้วยการให้โบนัสไม่เกิน 20% ในการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่สร้างอาคารใหม่ เป็นการเพิ่มนอกเหนือจากได้โบนัสในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

โดยมีเงื่อนไขว่า 

1.จะต้องจัดให้มีพื้นที่รับน้ำในแปลงที่ดินที่ขออนุญาต กักเก็บน้ำได้ไม่น้อยกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรต่อที่ดิน 50 ตารางเมตร จะได้โบนัสสร้างพื้นที่อาคารใหม่ได้ไม่เกิน 5% หากมากกว่า 1 ลูกบาศก์เมตรได้โบนัสไม่เกิน 20% 

2.จัดให้มีอาคารประหยัดพลังงาน (กรีนบิลดิ้ง) ตามมาตรฐานมูลนิธิอาคารเขียวที่ไทยรองรับ แยกเป็นระดับที่ 1 (Certified) ได้โบนัสไม่เกิน 5% ระดับที่ 2 (Silver) ได้ไม่เกิน 10% ระดับที่ 3 (Gold) ไม่เกิน 15% และระดับที่ 4 (Platinum) ไม่เกิน 20%
3.จัดให้มีที่จอดรถยนต์โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน บีทีเอส แอร์พอร์ตลิงก์ สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เช่น สถานีศูนย์วัฒนธรรม สถานีอ่อนนุช สถานีลาดกระบัง สถานีหัวหมาก สถานีบางบำหรุ สถานีตลิ่งชัน สถานีอุดมสุข สถานีแบริ่ง สำหรับคนทั่วไปเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่จอดรถยนต์ของอาคารสาธารณะ มีโบนัสสร้างอาคารเพิ่มได้ไม่เกิน 20%
4.จัดให้มีพื้นที่สาธารณะ หรือสวนสาธารณะบนพื้นที่ดินประเภทสีแดง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) "ย.8-ย.10" พื้นที่สีแดง (พาณิชยกรรม) "พ.1-พ.5" เจ้าของที่ดินจะได้โบนัสเพิ่มไม่เกิน 20% 5.สร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่าท้องตลาดสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมภายในพื้นที่โครงการ
ผุด 5 ศูนย์ชุมชนชานเมือง
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับซับเซ็นเตอร์หรือศูนย์ชุมชนชานเมืองที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมฉบับใหม่ จะเป็น เมืองรองรับการขยายตัวของพื้นที่ชั้นในออกมายังพื้นที่แนววงแหวนรอบนอกและรถไฟฟ้าสายใหม่ที่จะพาดผ่าน เพื่อลดการเดินทางเข้าไปในเมือง
ทั้งนี้ มี 5 แห่งที่เป็นพื้นที่มีศักยภาพ เช่น ย่านตลิ่งชันบริเวณถนนฉิมพลี อยู่ในแนวรถไฟสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ย่านมีนบุรีใกล้ตลาดมีนบุรี แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีส้มมาบรรจบกัน ย่านพระรามที่ 2 ใกล้กับถนนวงแหวนรอบนอก ย่านร่มเกล้าในแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู และย่านถนนรามอินทราใกล้จุดตัดถนนรัชดา-รามอินทรา แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู
นอกจากนี้ จะเพิ่มการขยายตัวของย่านพาณิชยกรรมรอง ส่งเสริมในบางพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ การค้า การบริการ และนันทนาการ เช่น ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ บริเวณนวมินทร์ อเวนิวที่มีการสร้างคอมมิวนิตี้มอลล์อยู่หลายแห่ง, บริเวณศูนย์การค้าซีดีซี (คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์) ตรงเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, แยกบางนาที่มีโครงการเมกะบางนาเข้าไปพัฒนารอไว้แล้ว เป็นต้น
นายเกรียงพลกล่าวอีกว่า สำหรับผังแสดงโครงข่ายคมนาคมนั้น ในรายละเอียดจะมีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 12 สายทาง ตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และแนวเส้นทางถนน 140 สาย มีทั้งขยายถนนเดิมและแนวตัดถนนใหม่